CRM คืออะไร? ช่วยเพิ่มศักยภาพของทีมขายได้อย่างไร?

ธุรกิจที่มีทีมขายในปัจจุบันต่างมีความจำเป็นที่ต้องมีการจัดเก็บและจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ มีรายละเอียดครบถ้วน และสามารถติดตามการทำงานของทีมงานหรือดูประวัติการเสนองานต่างๆกับลูกค้าได้ เพื่อทีมขายหรือผู้เกี่ยวข้อง จะได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนงานขาย การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าและช่วยส่งเสริมกระบวนการขายในทุกขั้นตอน ให้เป็นไปอย่างราบรื่นไปจนถึงการปิดการขายที่สมบูรณ์ได้ แต่ในปัจจุบันก็คงยังมีอีกหลายๆ ธุรกิจที่ยังไม่ได้มีการจัดการข้อมูลในส่วนนี้อย่างเป็นระบบเท่าที่ควร ข้อมูลกระจัดกระจายอยู่หลายแหล่ง ทำให้ยากต่อการบริหารจัดการ อีกทั้งการจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ ทำรายงานหรือใช้งานต่อก็ค่อนข้างเสียเวลาในการรวบรวม ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนบ้าง ส่งผลให้การบริหารการขายและการดูแลลูกค้าเกิดความล่าช้า ไม่ดีเท่าที่ควร และหากท่านคือธุรกิจหนึ่งที่ยังไม่เคยมีการจัดการตรงส่วนนี้ ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ท่านควรมองหา ระบบ CRM เข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการงานขายนั่นเอง

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

CRM คืออะไร?

CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management หมายถึง การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าของธุรกิจเกิดความพึงพอใจสูงสุดจนเกิดเป็นความภักดีต่อองค์กร รวมทั้งสินค้าและบริการของเรานั่นเอง โดยในปัจจุบัน CRM นั้นถูกกล่าวถึงและมีคำจำกัดความที่หลากหลายขึ้นอยู่กับบริบทที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมีทั้งในมุมของ loyalty program ซึ่งก็คือกลยุทธ์หรือเทคนิคทางการตลาดที่จะกระตุ้นให้ลูกค้ายังซื้อสินค้าบริการของเรา ซึ่งหลายๆคน คงคุ้นเคยกับประเภทนี้มากกว่า และในอีกมุมหนึ่งก็คือ การบริหารจัดการงานขายโดย ใช้ซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม CRM ซึ่งถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการงานขายและจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหัวข้อที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้ค่ะ

R-CRM หมายถึงแพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Readyplanet เพื่อคนทำธุรกิจที่มีทีมขายโดยเฉพาะ ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลและจัดการงานขายอย่างครบกระบวนการ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย อย่างไรก็ตามเป้าหมายของระบบ CRM ไม่ได้เน้นแค่การจัดเก็บข้อมูลลูกค้าหรือบริหารงานขายเท่านั้น แต่ยังมีเครื่องมือต่าง ๆ ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ประวัติการติดต่อหรือสนทนากับลูกค้า การบริหารจัดการเอกสารการขายต่างๆ เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ การดูผลงานยอดขาย รวมไปถึงรายงานสถิติต่าง ๆ ด้วย  ซึ่งทีมงานที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้ ระบบ CRM นี้ก็คงขึ้นอยู่กับโครงสร้างองค์กรแต่ละที่ แต่โดยรวมก็จะเป็นทีม Marketing, ทีม Customer Support และที่สำคัญก็คือทีม Sales เอง ที่หากมีการใช้ R-CRM เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการงานขาย หรือการบริหารจัดการ Sales Pipeline แล้ว จะสามารถนำข้อมูลต่างๆ ในระบบ มาวางแผน วิเคราะห์ ต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการลูกค้าเพื่อให้ได้ยอดขายที่ทีมและองค์กรได้ตั้งเป้าไว้ได้ รวมถึงเรื่องความบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เราก็สามารถแชร์ไอเดียหรือแนวคิดที่ได้จากการดูแลลูกค้าในขั้นตอนต่างๆของงานขายให้กับทีมงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะได้นำมาพัฒนาสินค้าบริการขององค์กร ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดีมากยิ่งขึ้นได้ในลำดับต่อไป

 

ระบบ CRM ระบบจัดการงานขาย

 

R-CRM สำหรับบริหารงานขาย มีกระบวนการทำงานอย่างไร?

การใช้ระบบ CRM เข้ามาช่วยในการบริหารงานขายของแต่ละองค์กรนั้น ต่างมีรายละเอียดหรือขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ รวมถึงรูปแบบในการบริหารจัดการ และสำหรับการใช้ R-CRM ที่พัฒนาโดย Readyplanet นั้น ก็มีกระบวนการหลักต่างๆ ที่สำคัญสำหรับใช้บริหารงานขายที่ตอบโจทย์ปัญหาธุรกิจได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุม โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้า (Leads) การจัดการกระบวนการขายขั้นตอนต่างๆ การรักษาฐานลูกค้าเก่าและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าด้วย โดยเราขอสรุปภาพรวมเบื้องต้นของกระบวนการทำงานของ R-CRM ดังต่อไปนี้

 

1. การหาลูกค้ารายใหม่และเพิ่ม Lead 

ขั้นตอนแรกคือการหาลูกค้ารายใหม่ ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นลูกค้าหรือผู้ที่สนใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจ อาจเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าลูกค้าเป้าหมาย ลูกค้าเป้าหมายอาจมาจากหลายช่องทางทั้ง Online และ Offline ถ้าเป็นช่องทาง Online เช่น Website, Facebook, Line OA เป็นต้น ส่วนช่องทาง Offline เช่น งาน Event, Exhibition หรือจากการบอกต่อ หรือการแนะนำ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อได้ข้อมูลของลูกค้าเป้าหมายมา เช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือข้อมูลการติดต่ออื่นๆ มาแล้ว สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้าง Lead หรือเพิ่ม Lead ใหม่เข้าไปในระบบ R-CRM เพื่อให้ทราบข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าเป้าหมายแต่ละบุคคล

 

2. เปลี่ยนเป้าหมายให้เป็นลูกค้า  

การเปลี่ยนเป้าหมายให้เป็นลูกค้านั้น ทีมขายหรือเซลล์ควรมีทักษะการวิเคราะห์ว่าลูกค้าเป้าหมายมีความสนใจในสินค้าหรือบริการมากน้อยเพียงใด แต่หากใช้เวลาในการวิเคราะห์นาน ย่อมไม่เป็นผลดีเท่าที่ควร ดังนั้น R-CRM จึงมีประโยชน์อย่างมากที่จะเข้ามาช่วยตรงส่วนนี้ ซึ่งทีมขายสามารถดึงข้อมูลต่าง ๆ ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้าเอง ประวัติการติดต่อพูดคุย หรือประวัติการนำเสนอขายสินค้าบริการที่ผ่านมา รวมถึงประวัติการขายที่ประสบความสำเร็จ และแยกแยะประเภทลูกค้าด้วยการติดป้ายกำกับ และนำมาพิจารณาเกณฑ์ด้านคุณสมบัติของลูกค้าเป้าหมายแยกตามประเภทที่เรามุ่งหวังในการปิดยอดขาย หรือเปรียบเหมือนการวิเคราะห์ข้อมูลบนพื้นฐานความเป็นจริง สามารถอ้างอิงจากข้อมูลเดิมของการขายที่ประสบความสำเร็จแล้วใช้เกณฑ์เหล่านี้เป็นตัวกำหนดได้ ก็จะทำให้ทีมขายมีแนวทางการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งไม่เสียเวลาในการจมอยู่กับข้อมูลมากจนเกินไป ทำให้มีเวลาในการบริหารจัดการลูกค้าได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น

 

3. ขั้นตอนการขาย 

ระบบ CRM เข้ามาช่วยซัพพอร์ตขั้นตอนการขาย เมื่อมีการตั้งเป้าหมายหรือ Leads ที่คาดหวังให้เป็นลูกค้าหรือ Customer ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ทีมขายก็จะต้องมีการเริ่มพูดคุยติดต่อ และจัดทำใบเสนอราคาและเอกสารอื่นๆ ไปให้ลูกค้าพิจารณา จากนั้นก็สามารถส่งเอกสารเหล่านี้ผ่านอีเมลได้ง่ายๆ ผ่านระบบ R-CRM ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องสวิตช์หน้าจอออกจากโปรแกรมเพื่อไปเปิดอีเมลอีกที ที่สำคัญสามารถที่จะมอนิเตอร์หรือควบคุมบริหารจัดการการทำงานได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะตั้งแต่การเก็บข้อมูลลูกค้า ขั้นตอนการนำเสนอหรือขั้นตอนการต่อรองทุกอย่างแสดงผ่าน Sales Pipeline โดยสามารถแบ่งออกเป็นแต่ละ Stage ให้เห็นชัดเจน ทำให้เซลล์หรือผู้ใช้งานระบบ R-CRM เห็นวงจรการขายในภาพรวมได้ในหน้าจอเดียว

 

4. รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า 

เมื่อบรรลุเป้าหมายด้วยการปิดการขายได้สำเร็จแล้ว การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เสมือนฐานลูกค้าเก่าที่เรายังคงต้องดูแลเอาใจใส่เพื่อให้ลูกค้ายังคงซื้อสินค้าหรือบริการของเราต่อไปเรื่อยๆ มีความภักดีและเชื่อมั่นในสินค้าบริการของเราต่อไปนั่นเอง และยิ่งดีกว่านี้ลูกค้าประเภทนี้ก็จะมีการบอกต่อหรือแนะนำสินค้าบริการของเราออกไปในวงกว้าง ทำให้ธุรกิจมีโอกาสได้ Leads ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกช่องทางหนึ่งนั่นเอง ซึ่ง R-CRM นี้ก็จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ง่ายขึ้น เพราะทีมขายจะมีข้อมูลการติดต่อสื่อสารทั้งหมด รวมถึงประวัติการซื้อต่างๆ ทำให้เวลาพูดคุยหรือสานต่อกับลูกค้าสามารถเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด 

 

ระบบ CRM การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

 

ในปัจจุบันมีหลากหลายธุรกิจที่เริ่มมีการใช้ระบบ CRM เข้ามาช่วยบริหารทีมขายมากขึ้น และหลายๆ ธุรกิจก็กำลังให้ความสนใจ เนื่องจากระบบนี้สามารถเข้ามาช่วยในการบริหารทีมขายได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ การจดบันทึกข้อมูลการดำเนินการขายต่างๆ ข้อมูลความต้องการของลูกค้า ข้อมูลการเข้าพบลูกค้าหรือการติดตามลูกค้าแต่ละราย เมื่อไหร่ก็ตาม ที่พนักงานขายคนใดคนหนึ่งลาออก และหากต้องการเรียกดูข้อมูลของลูกค้าสามารถตามเรื่องต่อได้เลย นอกจากนั้นยังช่วยทำให้หัวหน้าทีมขายหรือทีมผู้บริหาร เห็นไทม์ไลน์และขั้นตอนที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร มีการติดตามลูกค้าถึงขั้นตอนบ้าง ส่วนที่สำคัญคือการค้นหาข้อมูลลูกค้าในระบบ CRM นั้นก็ทำได้ง่ายกว่าการค้นหาจากที่จดบันทึกในกระดาษหรือสมุดจดบันทึกที่เสี่ยงต่อการสูญหายได้ทุกเมื่อ แถมยังช่วยให้ประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูลด้วย 

และสำหรับ R-CRM ก็ยังสามารถแยกประเภทลูกค้าได้ดีขึ้น นำไปสู่การคาดการณ์ยอดขายได้อย่างแม่นยำจากประเภทของ Lead, Prospect, Customer ซึ่งแต่ละแบบมีวิธีการขายที่แตกต่างกัน สามารถใส่รายชื่อผู้รับผิดชอบลูกค้าแต่ละคนได้ ทีมขายสามารถมองเห็นสถานะการขายได้ดีขึ้น 

 

จะเห็นว่าการดำเนินการทำงานด้านการขายนั้นมีขั้นตอนมากมายกว่าจะสามารถปิดยอดขายของลูกค้ารายหนึ่งๆได้ ซึ่งระหว่างทางของการทำงานก็คงมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายให้ทีมขายที่ยังไม่มีเครื่องมือ CRM เข้ามาช่วยมีความกังวลใจเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น

  • มีข้อมูลลูกค้ามากมาย ข้อมูลกระจัดกระจาย ไม่เป็นระบบ ไม่มีการเก็บข้อมูลบนระบบกลาง
  • ข้อมูลต้องถูกเข้าถึงจากทีมขายหลายๆ คน แต่ปรากฏว่ายังใช้ Excel เก็บข้อมูลอยู่
  • ไม่แน่ใจว่าพนักงานขายยังมีการติดต่อลูกค้าต่อเนื่องหรือไม่
  • กำลังรู้สึกว่าจะเสียลูกค้าไป สูญเสียโอกาส เสียรายได้จากปัจจัยที่เกิดจากทีมขาย หรือกระบวนการขายที่บกพร่องไป

 

ดังนั้น ถ้าธุรกิจของคุณกำลังเจอกับปัญหาข้างต้นเหล่านี้ ถึงเวลาแล้วที่จะนำ R-CRM เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อขจัดปัญหา และได้มาโฟกัสการทำงานเพื่อให้ยอดขายบรรลุเป้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขั้น

 

R-CRM เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพ Customer Journey ได้อย่างไรบ้าง

เมื่อเราพูดถึงการบริหารจัดการงานขาย ซึ่งกระบวนของการขายก็มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและหลากหลายแนวคิดมาก กว่าจะนำมาซึ่งการปิดการขายอันเป็นที่น่าพอใจได้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของเรา ไม่ว่าจะมาจากช่องทางใดก็ตาม นอกจากจะมีระบบ R-CRM เข้ามาช่วยตรงนี้แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ทีมขายหรือทีมการตลาดก็ต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปด้วยก็คือ Customer Journey ซึ่งก็หมายถึง การเดินทางของลูกค้า ตั้งแต่การรับรู้ การค้นหาข้อมูลสินค้าบริการ ข้อมูลแบรนด์ ข้อมูลองค์กร จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าบริการและการซื้อซ้ำ เป็นเสมือนทฤษฎีในการเข้าใจลูกค้า เชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆของลูกค้าที่มาเจอเรา เพื่อจะได้สามารถโน้มน้าวพฤติกรรมลูกค้าได้ถูกวิธีและถูกช่วงเวลา และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เทคโนโลยีระบบ CRM จะเข้ามาช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น สามารถมองเห็นการเดินทางของลูกค้าได้ผ่านระบบ CRM ได้อย่างละเอียด เพื่อให้เราได้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น และนำข้อมูลมาปรับแผนงาน วางกลยุทธ์ เพื่อให้นำมาซึ่งการตัดสินใจซื้อสินค้าบริการของเรานั่นเอง

และสำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาระบบ CRM อยู่นั้น วันนี้ทาง Readyplanet ขอนำเสนอ R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขายที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย โดยมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นมากมาย เมนูภาษาไทยใช้งานได้ง่าย ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการและเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของธุรกิจคุณได้อย่างแน่นอน พร้อมกับช่วยให้ทีมขายของคุณทำงานได้อย่างสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ R-CRM

1. Sales Pipeline : คืออะไร ช่วยทำงานได้ดีขึ้นอย่างไร

Sales Pipeline คือ ขั้นตอนหรือกระบวนการขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยจะแบ่งออกเป็นแต่ละสเตจ ซึ่ง Leads ที่เข้ามานั้นจะเปลี่ยนแปลงจาก สเตจหนึ่งไปยังสเตจหนึ่งได้ เมื่อมีแอคชันหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น  Sales Pipeline ของแต่ละธุรกิจนั้นจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับกระบวนการขายของแต่ละบริษัท

Sales Pipeline ช่วยให้พนักงานขายหรือผู้จัดการขายมองเห็นภาพรวมว่าลูกค้าแต่ละรายอยู่ในขั้นตอนการขาย ขั้นตอนไหน สามารถมองเห็นประสิทธิภาพของการดำเนินการและการทำงานของทีมขายได้อย่างชัดเจน ข้อมูลต่างๆ ในแต่ละสเตจอ้างอิงจากพฤติกรรมของลูกค้า เมื่อมี Sales pipeline ก็จะส่งผลให้สามารถคาดการณ์ยอดขายได้แม่นยำมากขึ้นด้วย 

 

2. Leads : รายละเอียดลูกค้า ง่ายต่อการค้นหา มีข้อมูลในแหล่งเดียว ทุกคนใช้ฐานเดียวกันได้

 

ระบบ CRM R-CRM feature Leads Inbox รายละเอียดลูกค้า

 

Leads คือ ผู้ที่สนใจหรือมีแนวโน้มการสนใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจของเรา หรือกลุ่มผู้ที่ติดต่อเข้ามาจากทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์  เป็นเสมือนผู้มุ่งหวังที่ทีมขายของเราตั้งใจจะปิดการขายให้ได้และกลายเป็นลูกค้าที่แท้จริงของเรานั่นเอง

โดย Leads แต่ละรายก็จะมี ข้อมูลสำคัญต่างๆ ที่สามารถระบุตัวตนได้ ยกตัวอย่างเช่น ชื่อ-นามสกุล ข้อมูลการติดต่อ ที่อยู่ เป็นต้น หากมีการติดต่อพูดคุยกับ Leads แล้วก็มีแนวโน้มที่จะขายสินค้าหรือบริการนั้นได้ สามารถขึ้นทะเบียนหรือ Register เก็บเป็นข้อมูลบัญชีลูกค้าได้ในลำดับต่อไป เมื่อคุณสร้าง Leads และใส่ข้อมูลต่างๆ ระบุตัวตนของ Leads  ลงไปใน R-CRM แล้วจะทำให้ง่ายต่อการค้นหา เพราะมีข้อมูลที่รวมอยู่ในแหล่งเดียวและทุกคนสามารถใช้ฐานข้อมูลเดียวกันได้

 

3. Quotation / Invoice : สร้างใบเสนอราคาและใบแจ้งหนี้ได้รวดเร็ว มีข้อมูลครบถ้วน ค้นหาและดูประวัติการเสนอได้

 

ระบบ CRM R-CRM ฟีเจอร์สร้างใบเสนอราคา

ฟีเจอร์ Quotation: การสร้างใบเสนอราคา พร้อมระบบอนุมัติ

 

R-CRM มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างใบเสนอราคาและใบแจ้งหนี้ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว พร้อมกับสามารถส่งให้ Leads แต่ละรายได้ทางอีเมลทันทีผ่านระบบ โดยมีแบบฟอร์มใบเสนอราคามาให้คุณเสร็จสรรพ คุณเพียงแค่ทำการใส่รายละเอียดและรายการสินค้าบริการ ลงไปในใบเสนอราคา จากนั้นระบบก็จะสร้างเอกสารออกมาให้คุณอย่างสมบูรณ์ ได้อย่างง่ายดายเพียงไม่กี่นาที ช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เมื่อมีสร้างใบเสนอราคาแล้ว คุณสามารถกดเพื่อดูตัวอย่าง, คัดลอกลิงค์หรือดาวน์โหลดเป็นไฟล์ PDF แก้ไขข้อมูลก็ได้ ตลอดจนการสร้างใบแจ้งหนี้ รวมถึงยกเลิกการใช้งาน ก็สามารถทำได้ทั้งหมดเช่นกัน 

 

4. Email : ส่งเมลได้ทันทีพร้อมบอกสถานะการเปิดอ่าน แนบไฟล์เอกสารต่าง ๆ ได้

 

ฟีเจอร์เด่นของ R-CRM อย่างหนึ่งคือ คุณสามารถส่งอีเมลได้ทันทีผ่านระบบหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเอกสาร รายละเอียดข้อมูลสินค้าบริการ อัพเดตและติดตามการพูดคุยกับลูกค้า หรือการส่งเพื่อประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นและแคมเปญต่างๆ โดยระบบมีรูปแบบอีเมลพื้นฐานให้เบื้องต้นแล้วหรือผู้ใช้จะปรับให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจได้เช่นกัน โดยสามารถแนบไฟล์เอกสารต่างๆที่มีอยู่ในระบบ R-CRM อยู่แล้วหรืออัพโหลดเพิ่มเติมได้ และที่สำคัญคือ สามารถตรวจสอบหรือดูได้ว่า ลูกค้าที่เราส่งอีเมลไปนั้น มีการเปิดอ่านอีเมลเรียบร้อยแล้วหรือไม่ และมีการเปิดดูเอกสารฉบับไหนที่แนบไปแล้วบ้าง ซึ่งทำให้การพูดคุยหรือติดตามกับลูกค้าเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ราบรื่น รวดเร็ว

 

5. Noted : จดบันทึกได้ทุกเมื่อ ง่ายต่อการย้อนดู

 

ฟีเจอร์: เพิ่มบันทึก, ส่งอีเมล และ เช็คอิน

 

ฟีเจอร์ Add Noted หรือการเพิ่มบันทึก สำหรับการจดบันทึกสั้น ๆ เพื่อไม่ให้หลงลืม ช่วยจัดเก็บประวัติการติดต่อ หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับ Leads ได้ รวมถึงระบบจะช่วยบันทึกการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการดำเนินการบน Sales Pipeline ของ Leads รายนั้นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Log ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น เสนอ การต่อรองราคา ไปจนถึงการปิดการขาย ส่วนนี้ช่วยทำให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครั้งต่อไปของลูกค้ารายนั้นๆ ได้ เมื่อพนักงานขายจดจำรายละเอียดของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ ลูกค้าย่อมเกิดความประทับใจและรับรู้ได้ว่ามีความสำคัญ 

 


6. Reminder : ตั้งเวลาแจ้งเตือน เพื่อการบริหารจัดการติดต่อและติดตามลูกค้าได้ดีและมืออาชีพ

 

 

ในส่วนฟีเจอร์ Reminder  ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยในการวางแผนการติดต่อ การจัดการงานขายดีขึ้นกว่าเดิม พนักงานขายหรือเซลล์แต่ละคนจะสามารถตั้งเวลาให้ระบบแจ้งเตือน เพื่อ Follow Up Leads ในแต่ละคนได้ จนนำไปสู่การบริหารจัดการติดตามลูกค้าได้ดี 

 

7. R-Insights : ดูรายงาน สถิติต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนการทำงานต่อไปได้อย่างรวดเร็ว

R-Insights เปรียบเสมือนสถานที่เก็บรวบรวมการสรุปข้อมูลหรือเก็บรวบรวมรายงานสถิติต่างๆ อย่างเช่น รายงานสถิติการสั่งซื้อ โดยมีข้อมูลละเอียดและครบถ้วนในแต่ละขั้นตอน สามารถเรียกดูตามหมวดหมู่หรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ สามารถแสดงภาพรวมรายงานผลเกี่ยวกับ Sales Pipeline  หรือกระบวนการทั้งหมดได้ ง่ายต่อการทำ Report และได้รายงานที่แม่นยำ อีกทั้งสามารถ Export Report ออกมา เพื่อนำข้อมูลมาวางแผน ปรับปรุง พัฒนาสินค้าบริการ รวมทั้งพัฒนาการทำงานของทีมขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยรูปด้านล่างนี้คือตัวอย่างของแดชบอร์ดที่แสดงสถิติสำคัญต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ Sales and Marketing Dashboard ซึ่งเป็นแดชบอร์ดที่แสดงภาพรวมกิจกรรมการขายและการตลาด ซึ่งมีข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ Lead ที่กำลังติดตาม เลิกติดตาม หรือปิดการขายได้แล้ว รวมไปถึง Conversions แหล่งที่มา และมูลค่าของ Lead โดยเลือกดูข้อมูลตามช่วงเวลาที่ต้องการได้ เป็นการใช้งานร่วมกันกับระบบ R-CRM ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

R-Insights Sales and Marketing Dashboard

R-Insights: ตัวอย่างรายงาน Sales and Marketing Dashboard

 

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ รายงาน Sales Essential รายงานภาพรวมเกี่ยวกับการขายสินค้าของธุรกิจ ซึ่งสามารถใช้ดูข้อมูลการขายในมุมมองต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยให้ผู้บริหารและผู้จัดการฝ่ายขายสามารถดูข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เพื่อนำไปวางแผนกลยุทธ์การขายให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป

 

R-Insights Sales Eseentials

R-Insights: ตัวอย่างรายงาน Sales Essentials

 

จะเห็นว่า ฟีเจอร์เด็ดทั้ง 7 ที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ท่านเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้นว่า R-CRM คืออะไร มีกระบวนการทำงานอย่างไร ทำไมควรใช้ R-CRM บริหารทีมขายกับธุรกิจของท่าน อย่างไรก็ตาม R-CRM ของ Readyplanet ยังมีฟีเจอร์อื่นๆอีกมากมาย ที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการงานขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าของท่านได้ดีมากยิ่งขึ้น ดังนั้นถึงเวลาแล้วธุรกิจของคุณควรมงหาเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มโอกาสการขายและจัดการงานขายอย่างมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

Readyplanet เรามีระบบ R-CRM ที่ช่วยในการบริหารจัดการทีมขายเป็นเรื่องง่าย เปลี่ยนการทำงานแบบเดิมที่ยุ่งเหยิง ค้นหายาก วัดผลไม่ได้ สู่การบริหารจัดการงานขายยุคใหม่ ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ครบครันด้วยเครื่องมือสำคัญที่หลากหลาย เครื่องมือที่ทีมขายจำเป็นต้องใช้ทำงานทุกวัน ตั้งแต่การจัดการ Lead บันทึกรายงาน สร้างใบเสนอราคา การส่งอีเมล การตั้งค่าแจ้งเตือนเพื่อติดต่อลูกค้าในครั้งต่อไป ฯลฯ ไปจนถึง การจัดการ Sales Pipeline  ในแต่ละขั้นตอนได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว เรียนรู้การใช้งาน R-CRM เพิ่มเติมได้ที่นี่ >>  https://help.readyplanet.com

 

 

สมัครใช้งาน Readyplanet R-CRM 

R-CRM คือแพลตฟอร์มบริหารจัดการทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ช่วยให้ผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายขาย สามารถติดตามการทำงานของพนักงานขายได้อย่างเป็นระบบ พร้อมรายงานสถิติสำคัญที่จะช่วยให้วางแผนเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์องค์กรที่มีสินค้าหรือบริการแบบ High Involvement

 

 

ลงทะเบียนและเริ่มใช้ R-CRM ฟรี


 

 


 

 

บทความที่น่าสนใจ

 

 

ระบบ CRM