6 คีย์สำคัญ ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันควรเลือกใช้ ระบบ CRM

ระบบ CRM สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำไมถึงเป็นสิ่งจำเป็น เพียงแค่จัดแคมเปญการตลาดที่โดนใจ แจกโปรโมชั่นส่วนลดสูง ๆ ก็น่าจะดึงดูดลูกค้าได้แล้ว แต่ลูกค้าทุกคนอาจไม่ได้ชอบโปรโมชั่นก็ได้ เขาอาจจะกำลังมองหาอย่างอื่น ถ้าเรารู้อาจจะปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกค้าเราชอบหรือกำลังสนใจอะไร ทำอย่างไรถึงจะนำเสนอการขายได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด ซึ่งระบบ CRM คือคำตอบค่ะ แต่ CRM มีฟีเจอร์และความสามารถที่หลากหลาย แล้วเราจะใช้ระบบ CRM ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร วันนี้ Readyplanet มีเคล็ดลับที่น่าสนใจมาฝากค่ะ

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คืออะไร?

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ ธุรกิจการซื้อการขายที่ดิน สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เช่น บ้านเรียน สำนักงาน อาการ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงสิ่งอื่นที่อยู่ติดกับที่ดินที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น แม่น้ำ บ่อแร่ เหมืองแร่ กรวด ดิน ทราย ที่อยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งก็ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน

 

ระบบ CRM สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

 

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือใคร?

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจนี้มีหลากหลายประเภท แต่หลัก ๆ แล้ว ในธุรกิจนี้มักจะแบ่งลูกค้าตามการขายอสังหาริมทรัพย์ มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ แบบขายขาดและแบบให้เช่า ลูกค้าที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยเป้าหมายที่ต่างกัน ธุรกิจก็จะต้องใช้กลยุทธ์การขายที่ต่างกันออกไป นอกจากนี้ เราต้องมองถึง Demographic รวมถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อด้วย เช่น กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณเป็นคนกลุ่มอายุเท่าไหร่ ทำอาชีพอะไร มีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ มีไลฟ์สไตล์แบบไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การขายได้อย่างแม่นยำขึ้น

 

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

 

กระบวนการขายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

โดยทั่วไปแล้วกระบวนการขายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มจากหาลูกค้าจาก Listing เพื่อเข้าไปขายงานนั่นเอง หลังจากนั้น เข้าสู่การโฆษณาขาย เพื่อหาลูกค้าที่เขากำลังสนใจมองหาอังสังหาริมทรัพย์อยู่ หากมีลูกค้าที่สนใจ เขาก็จะติดต่อกลับมา ก็จะเป็นขั้นตอนของการเจรจา พาลูกค้าไปชมสถานที่ พร้อมบอกรายละเอียดต่าง ๆ  ให้ลูกค้าเข้าใจ เห็นภาพจริง  และตอบคำถามต่าง ๆ ที่ลูกค้าสงสัยให้ได้เคลียร์มากที่สุด เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อย จนลูกค้าตัดสินใจอยากซื้อ ก็จะเป็นขั้นตอนของการทำสัญญา แจ้งค่าโอนและเงื่อนไขอื่น ๆ หลังจากนั้นจะเป็นการขอสินเชื่อ และโอนกรรมสิทธิ์ ถือว่าเป็นการปิดการขายอย่างสมบูรณ์

จะเห็นว่าขั้นตอนของการขายของธุรกิจประเภทนี้มีความซับซ้อนและหลายขั้นตอนอย่างมาก ซึ่งหลายธุรกิจก็อาจจะมีการทำงานแบบเก่าหรือที่แบบเคยชินกันมานาน เช่น บันทึกข้อมูลลงใน Spreadsheet หรือบางคนก็ยังใช้การจดรายละเอียดสำคัญลงสมุดหรือกระดาษ แต่สุดท้ายพอจะนำมาใช้ก็หาข้อมูลได้ยาก เพราะไม่มีระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการงานให้ง่ายขึ้น อย่างเช่น ระบบ CRM ซึ่งเป็นระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า เพราะบางธุรกิจอาจจะมองว่าเป็นการลงทุนที่มากเกินไป หรือยังไม่มีความจำเป็น หรือแม้แต่ยังไม่พร้อมเปิดรับการใช้ระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานที่เคยชินอยู่แล้วนั่นเอง 

 

กระบวนการขายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

 

ปัญหาของการขายที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มักเจอ

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จัดเป็นสินค้าในกลุ่ม High Involvement ที่ลูกค้าต้องใช้เวลาและข้อมูลจำนวนในมากประกอบการตัดสินใจซื้อ ดังนั้น การขายอสังหาริมทรัพย์เลยต้องอาศัยการพูดคุยให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า และเกิดความมั่นใจ อีกทั้งใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะปิดการขายได้ เซลส์หรือนักขาย ต้องมีการติดตามและดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ที่สนใจหรือลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดในทุก ๆ ด้าน แต่ปัญหาที่มักตามมาคือ เซลส์มีลิสต์ลูกค้าที่ค่อนข้างเยอะ แยกไม่ถูกว่าใครมาก่อนมาหลัง เป็นลูกค้ากลุ่มไหน ใครต้องการอะไรบ้าง และเข้าไปเสนอการขายได้ไม่ตรงตามความต้องการ บางครั้งก็ติดตามลูกค้าได้ไม่ครบ ทำให้ลูกค้าที่คุยกันอยู่ตัดสินใจเปลี่ยนใจ ทำให้ปิดการขายไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ (อ่านบทความเรื่อง Low vs High Involvement คืออะไร ต่างกันอย่างไร พร้อมแนวทางวางกลยุทธ์ ได้ที่นี่)

ดังนั้น การที่จะช่วยแก้ปัญหาในขั้นตอนการขายที่ต้องใช้เวลาติดตามนานนี้ ก็คงต้องควรใช้ ระบบ CRM เข้ามาช่วยบริหารจัดการงานขายในทุก ๆ ขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแต่ละระบบ ก็จะมีฟีเจอร์และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่าง Readyplanet R-CRM มีฟีเจอร์ที่รองรับการทำงานของธุรกิจไทยโดยเฉพาะ ระบบใช้งานได้ง่าย ดังนั้น ลองไปดูกันค่ะนอกจากนี้ มีคีย์สำคัญอะไรบ้างที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ควรเลือกใช้ระบบ CRM

 

6 คีย์สำคัญ ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันควรเลือกใช้ ระบบ CRM

ระบบ CRM สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีหลากหลายรูปแบบ และเพื่อให้ใช้แล้วได้ประสิทธิภาพจริง ๆ ธุรกิจจึงจำเป็นต้องรู้เคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้ทีมขายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำงานได้ประสบความสำเร็จ และนี่คือ 6 อย่างสำคัญของระบบ CRM ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ควรเลือกใช้

1. จัดเก็บและจัดระเบียบข้อมูลลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ

ปัญหาหนึ่งของการขายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็คือ การจัดการกับลิสต์รายชื่อลูกค้า กว่าจะเดินทางไปถึงขั้นตอนการปิดการขาย เซลส์ต้องผ่านการติดตามหลายขั้นตอน ตั้งแต่หารายชื่อลูกค้า เพื่อเข้าไปเสนอขายแล้ว หากลูกค้าสนใจก็ไม่ได้หมายความว่าจะปิดการขายได้เลย แต่ต้องใช้เวลาในการดำเนินเรื่องต่าง ๆ เช่น การจอง การทำสัญญาต่าง ๆ หรือรอลูกค้ายื่นทำสินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่งในระหว่างนี้คนขายต้องทำหน้าที่ดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้ลูกค้าคนสำคัญหลุดมือไป คอยให้คำปรึกษาและให้ข้อมูลด้านต่าง ๆ อย่างชัดเจนและครบถ้วน หรือไม่ให้เกิดความผิดพลาดเรื่องการซื้อการขาย รวมถึงทำข้อมูลตกหล่น

 

R-CRM ข้อมูลทะเบียนลูกค้า 


ซึ่งหากมีการใช้ โปรแกรม CRM มาช่วยจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทีมขายบริหารจัดการข้อมูลตรงนี้ได้ดีขึ้น อย่างเช่น R-CRM มีฟีเจอร์ Lead Management ที่สามารถเก็บรวบรวมรายชื่อลูกค้าให้เป็นระบบ รวมอยู่ในที่เดียว สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน ย้อนดูประวัติการบันทึกได้ทุกเวลา รายละเอียดสำคัญต่อการขาย เช่น ข้อมูลลูกค้าหรือผู้สนใจ ข้อมูลผู้ติดต่อ ประวัติการซื้อ หรือการนัดหมายต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยแบ่งกลุ่มลูกค้าได้ พร้อมแนบไฟล์รายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้หาข้อมูลได้ง่าย ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาให้ยุ่งยาก รวมถึงสถานะของ Leads ช่วยให้เราติดตามลูกค้าได้ง่ายขึ้น

 

2. การจัดการ Leads เพื่อช่วยบริหารความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ลักษณะเด่นของการขายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือ คนขายหรือเซลส์ต้องติดตามพร้อมดูแลลูกค้าในระยะยาวกว่าจะปิดการขายได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการขายในธุรกิจนี้ก็คือ การบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และยิ่งถ้าคุณมีจำนวนลูกค้าที่เยอะ อาจทำให้คุณลืมรายละเอียดสำคัญไป ทำให้ลูกค้าอาจเกิดความไม่ประทับใจขึ้นมาได้ หรือเราอาจจะนำเสนอการขายที่ผิดขั้นตอน หรือผิดกลุ่มลูกค้า ส่งผลให้ลูกค้าหลุดมือไปกลางทางได้เช่นกัน

แต่อย่างระบบ R-CRM จะช่วยมาแก้ไขปัญหาตรงนี้ ด้วยฟีเจอร์ Sales Pipeline ที่ช่วยแบ่งขั้นตอนการขายและดูข้อมูลกลุ่มลูกค้าตาม Stage การขายได้ว่า ลูกค้าคนไหนอยู่ขั้นตอนไหน อยู่สถานะใด เพื่อช่วยให้เซลส์สามารถนำเสนอขายหรือติดตามการขายได้ตรงตามความต้องการได้มากขึ้น เช่น สมมติว่า โครงการที่เราจะขายมีโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มขึ้นมา เราคงไม่เสนอสิ่งนี้ให้กับลูกค้าใหม่ แต่ควรจะนำเสนอให้กับลูกค้าที่จองไว้ แต่ยังไม่ตัดสินใจทำสัญญาซื้อขายสักที เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปิดการขายให้เร็วขึ้น ซึ่งหากมีการใช้ระบบ CRM ในการจัดเก็บข้อมูล ก็จะมีข้อมูลที่ขึ้นในหน้าข้อมูล Lead ให้เราเห็นได้เลยค่ะว่า เป็น Lead ที่มีอายุมานานเท่าไหร่แล้ว จะช่วยให้เราวางแผนการขายได้ดีขึ้น

 

 R-CRM การจัดการ Lead


หรือถ้าสัปดาห์หน้าเราต้องพาลูกค้ากลุ่ม VIP คนหนึ่งไปดูสภาพห้อง การจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกค้าได้ เช่น ชอบห้องที่สงบ เพราะต้องใช้สมาธิในการทำงานสูง และชอบดีไซน์ห้องแบบมินิมัล เพราะจะช่วยกระตุ้นความคิดในการทำงานได้ แล้วเรานำข้อมูลนี้ไปหาห้องที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ก็จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ ซึ่งรายละเอียดพวกนี้สามารถบันทึกไว้ในฐานข้อมูล Lead ของระบบ CRM ได้อย่างง่ายดายและสะดวกต่อการค้นหาอย่างมาก 

 R-CRM Lead Management

 

รวมถึงถ้ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่ต้องติดต่อ ก็สามารถใส่เบอร์โทร รายละเอียดต่าง ๆ เข้าไปได้ด้วย ทำให้จำได้ว่า คนกลุ่มไหนที่เขาเป็นคนสนิท หรืออยู่ในแวดวงที่เขารู้จักกัน ช่วยให้ติดต่อกลุ่มคนได้ง่าย และสานความสัมพันธ์ทีดีได้ครบทุกคนที่เกี่ยวข้อง

 

3. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ

เคยไหมคะ กำลังดีลกับลูกค้าคนสำคัญอยู่ แต่ก็ต้องเสียเวลากับการทำงานจุกจิกค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่มีเวลามากพอเข้าไปปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อยากจะปิดการขาย แต่ก็ไม่มีเวลาทำใบเสนอราคาให้ลูกค้า ลูกค้าก็เลยไม่รู้ว่า เบ็ดเสร็จแล้วมูลค่าที่เขาต้องจ่ายมันเป็นค่าอะไรบ้าง เลยทำให้ปิดการขายในตอนนั้นไม่ได้ หรือการนัดหมายลูกค้า ที่จะเกิดปัญหาหากเรามีจำนวนลูกค้าที่เยอะ จัดเรียงความสำคัญไม่ถูก พลาดนัดสำคัญได้ เช่น วันนี้ลืมดูว่ามีลูกค้าคนหนึ่งอยากมีดูโครงการที่อโศกตอนบ่ายโมง แต่ตอนบ่ายสามก็มีลูกค้าที่อยากดูโครงการในจังหวัดนนทบรี ซึ่งอาจทำให้ไปไม่ทัน เลยต้องยกเลิกนัดครั้งสำคัญของลูกค้าคนใดคนหนึ่งไป แต่เรื่องพวกนี้จะถูกจัดการได้ดีขึ้น ถ้ามีเครื่องมืออัตโนมัติที่ช่วยเราทำงานได้ เช่น R-CRM มีฟีเจอร์ที่ช่วยทำใบเสนอราคาได้อย่างอัตโนมัติ แค่กรอกรายละเอียดก็เสร็จเรียบร้อย และยังสามารถส่งให้หัวหน้าเซ็นอนุมัติผ่านทางออนไลน์ได้อีกด้วย

 

R-CRM การอนุมัติใบเสนอราคา

 

หรือการนัดหมายก็ทำได้อย่างง่ายดาย เพียงคลิกเข้าไปที่รายชื่อลูกค้า และเพิ่มการนัดหมายได้เลย แล้วสามารถมองในมุมมอง Calendar ที่จะช่วยให้เรามองเห็นการนัดหมายในภาพรวมมากขึ้น

 

R-CRM การนัดหมาย

 

 

 

4. ข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบ แม่นยำ

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นธุรกิจที่ปิดการขายค่อนข้างยาก เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูง ลูกค้าต้องใช้เวลาการพิจารณา เปรียบเทียบและตัดสินใจ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด อีกทั้งในยุคเงินเฟ้อแบบนี้ การตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งที่ยากขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้น เราต้องเริ่มตั้งแต่การคิดกลยุทธ์ผ่านข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่ให้เป็นการหว่านการขายที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลกำไรกลับมาหรือเปล่า หากเราเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง รู้ได้ชัดว่า เขาต้องการอะไร อสังหาริมทรัพย์ที่ขายได้ดีเป็นประเภทไหน หรือแม้แต่พื้นที่ขายดี ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเช่นกัน หากเราตอบคำถามพวกนี้ได้ ก็จะช่วยให้เราพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่ใช่จริง ๆ

เช่น หากเรารู้ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราส่วนใหญ่ทำงานในเมือง และไม่ชอบการจราจรติดขัด เราก็สามารถหามุมโฆษณาที่น่าสนใจมากขึ้น ด้วยการเน้นขายมุมความสะดวกสบาย อยู่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน แทนที่จะไปเน้นเรื่องความกว้างขวางหรือดีไซน์ของห้อง แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือ หรือบางบริษัทยังขาดข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจ เพราะยังไม่มีระบบเก็บข้อมูลไว้เพื่อวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์ ทำให้เวลาวางแผนการขายไปได้ไม่ตรงจุด แต่อย่าง ระบบ R-CRM เป็นเครื่องมือที่นอกจากจะช่วยเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบแล้ว ยังช่วยนำข้อมูลที่เก็บไว้มาประมวลผลและสามารถเปิดดูได้แบบเรียลไทม์ ผ่าน R-Insights เพื่อใช้วิเคราะห์ให้เห็นภาพงานการทำงานมากขึ้นช่วยให้มองเห็นพฤติกรรมลูกค้า ข้อมูลสถานที่ทำเลที่มีลูกค้าสนใจจองมากที่สุด รวมถึงประเภทห้อง หรือขนาดของห้องที่ลูกค้าสนใจ รวมถึงแนวโน้มของตลาดว่า ในอนาคตอสังหาริมทรัพย์แบบไหนน่าจะสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้การตัดสินใจเรื่องการขายเป็นไปได้อย่างแม่นยำขึ้น

 

 

5. ระบบ CRM ช่วยให้ทีมขายจัดการการสื่อสารได้ดีขึ้น

 

 

 

 

ยุคสมัยนี้การขายทำได้หลายช่องทางมากขึ้น ทั้งแบบ Onsite และ Online โดยเฉพาะช่องทาง Online ที่ทั้งสะดวกรวดเร็ว และลูกค้ารู้สึกสบายใจในการสนทนาด้วย ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจที่ทำด้านอสังหาริมทรัพย์ ต้องเริ่มฝึกฝนการรับมือกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่ปัญหาที่มักเจอก็คือ ช่องทาง Online ไม่ได้มีแค่ Channel เดียว อย่างน้อยมีมากกว่า 2 แพลตฟอร์มขึ้นไป ซึ่งการจัดการช่องทางการสื่อสารทาง Online ให้ครบทุกแพลตฟอร์มเป็นเรื่องที่ยากมาก หลายครั้งทำให้ตกหล่นข้อความลูกค้า ตอบแชทลูกค้าช้า หรือบางทีสลับ Account ไปใช้ Account ตัวเองในการสื่อสาร กระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจได้

จะดีกว่าไหม ถ้าธุรกิจมีเครื่องมือสำหรับบริหารงานขายอย่างระบบ CRM ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบแชทเพื่อสามารถติดตามการขายได้ทันทีและ ไม่เกิดข้อผิดพลาด ซึ่งแพลตฟอร์ม R-CRM ก็มีการเชื่อมต่อกับ R-Chat แพลตฟอร์มบริหารแชททุกช่องทางในที่เดียว ที่จะช่วยให้ธุรกิจและทีมขายของคุณสื่อสารกับลูกค้าทุกช่องทางได้ในแพลตฟอร์มเดียว จัดการได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถส่งต่อข้อมูลจากแชทไปยังระบบ R-CRM เพื่อติดตามการขายได้ต่อไป โดยไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ข้อมูลเพิ่มทีหลัง

 

6. เชื่อมต่อกับเว็บไซต์ธุรกิจ การทำโฆษณาที่สามารถวัดผลได้

 

 R-CRM Facebook lead ads

 

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่แค่ต้องมีการปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยี ต้องมีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายรองรับลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ ต้องมีกลยุทธ์ในการเลือกพื้นที่ในการทำโฆษณาเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างเหม่ะสม เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และด้วยความนิยมของสื่อ Social Media โลกที่เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ทำให้จากที่เซลล์ต้องวิ่งขายตามพื้นที่ต่าง ๆ ก็ต้องเพิ่มการทำการตลาดบนสื่อออนไลน์ด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้พลาดโอการในการขายไป

แต่ปัญหาใหญ่ที่เจอกันอยู่บ่อย ๆ ก็คือ เราควรใช้งบการตลาดแค่ไหนในการทำโฆษณาออนไลน์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า โฆษณาออนไลน์ที่ทำไป ก่อให้เกิด Leads ที่มีคุณภาพจริง ๆ แล้วธุรกิจควรลงเม็ดเงินกับสื่อออนไลน์แพลตฟอร์มไหนมากกว่ากัน ซึ่งแพลตฟอร์ม CRM นอกจากจะบริหารทีมขาย ดูแลการขายให้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีฟีเจอร์ API ที่เชื่อมต่อกับโฆษณา อย่างเช่นการทำ Facebook Leads Ads หรือการกรอกแบบฟอร์มผ่าน Landing Page ที่ช่วยให้ทีมขาย Tracking ได้ว่า Leads ที่ได้มานั้นมาจากช่องทางไหนบ้าง ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถประเมินงบประมาณได้อย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น เช่น ถ้าข้อมูลบอกมาว่า Leads ที่ปิดการขายได้กว่า 70% มาจาก Facebook Leads Ads เราก็สามารถปรับงบประมาณมาทุ่มกับช่องทางนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นตามมานั่นเอง

 

สรุป

ระบบ CRM สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นระบบที่ช่วยจัดการความสัมพันธ์และการติดตามการขายระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย รวมถึงเพิ่มอัตราการปิดยอดขายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ทั้งนี้ธุรกิจจะใช้ระบบ CRM ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ก็ควรต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม และใช้อย่างถูกวิธี เพื่อที่จะช่วยต่อยอดและส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน และมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากคุณสนใจระบบ CRM สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อยกระดับการขายของคุณ เราขอแนะนำ R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ที่ช่วยจัดการงานขายที่ยุ่งเหยิงให้มีระบบมากขึ้น ติดตามการทำงานของทีมขาย พร้อมมองเห็น Sales Pipeline ได้ง่าย มีฟีเจอร์ทำเอกสารใบเสนอราคาเพื่อการเสนอขายได้อย่างรวดเร็ว ทันใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่ตกหล่นเรื่องการสื่อสารกับลูกค้าด้วยการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ที่เข้ามาทำให้การสื่อสารกับลูกค้าง่ายขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญยังมีข้อมูลเชิงลึก ช่วยให้คุณตัดสินใจกลยุทธ์การขายได้อย่างแม่นยำขึ้น

 

 

 

สมัครใช้งาน Readyplanet R-CRM 

R-CRM คือแพลตฟอร์มบริหารจัดการทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ช่วยให้ผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายขาย สามารถติดตามการทำงานของพนักงานขายได้อย่างเป็นระบบ พร้อมรายงานสถิติสำคัญที่จะช่วยให้วางแผนเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์องค์กรที่มีสินค้าหรือบริการแบบ High Involvement

 

 

ลงทะเบียนและเริ่มใช้ R-CRM ฟรี


ระบบ CRM