7 แนวทางการทำโฆษณาออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จที่ SMEs ต้องรู้!

การทำโฆษณาออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้นอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะผู้ประกอบการทุกท่านอาจไม่ได้แค่ต้องต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วยเช่นกัน รวมถึงการเข้าใจแพลตฟอร์มอย่าง Facebook หรือ Google ที่แตกต่างกัน ก็สำคัญไม่แพ้กันเลยทีเดียว

 

เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกท่านที่กำลังวางแผนจะหาลูกค้าใหม่เพื่อเพิ่มยอดขายในปีนี้ ได้เข้าใจการทำโฆษณาออนไลน์มากขึ้น วันนี้เราจึงมีบทความใหม่ ที่จะรวม 7 แนวทางการทำโฆษณาออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องรู้ ซึ่งจะมีอะไรบ้าง มาติดตามกันได้เลย

 

Readyplanet มีแนวทางดี ๆ ในการทำโฆษณาที่จะช่วยคุณได้ ดังนี้

 

1. รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าของคุณคือใคร?

เริ่มแรกจากการทำความเข้าใจในประเภทธุรกิจของคุณก่อนว่าอยู่ในกลุ่มใด เช่น

 

  • ธุรกิจประเภท B2B (ลูกค้าของคุณคือคนที่ทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แล้วสินค้าหรือบริการของคุณไปตอบโจทย์หรือช่วยอำนวยความสะดวกในธุรกิจของลูกค้าคุณ

 

  • ธุรกิจประเภท B2C (ลูกค้าของคุณคือกลุ่มคนที่มีความต้องการสินค้าและบริการของคุณ) เป็นต้น

 

Customer Persona

 

จากนั้นขอแนะนำให้คุณทำ Customer Persona เพื่อทำความเข้าใจและมองเห็นภาพของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนมากขึ้น โดยอาจจะเริ่มจากการนำฐานข้อมูลลูกค้าของคุณมาจัดกลุ่ม (Customer Segment) เพื่อนำมากำหนดคุณสมบัติเบื้องต้น เช่น เพศ, อายุ, อาชีพและที่อยู่ จากนั้นค่อยเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเชิงลึก เช่น ความสนใจ, ปัญหา, พฤติกรรมความชอบ/ความไม่ชอบต่างๆ หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตหรือ Social Media เป็นต้น

 

ไหน ๆ จะวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อกำหนด Customer Persona แล้ว Readyplanet ขอแนะนำให้เจาะลึกลงไปอีกหน่อยว่า “อะไรที่จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจสินค้านั้น ๆ” เพราะหากคุณวิเคราะห์สิ่งนี้ได้แม่นยำแล้ว จะช่วยให้การทำโฆษณาออนไลน์ของคุณกลับมาเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน

 

2. กลยุทธ์และวัตถุประสงค์ของการทำโฆษณาได้เหมาะสมกับเป้าหมายของธุรกิจ

 

จากหลายบทความที่ Readyplanet เคยเขียนเกี่ยวกับการทำโฆษณาออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกับธุรกิจทุกประเภท สิ่งแรกที่คุณควรรู้คือ “Customer Journey” ของลูกค้าคุณ เพื่อการวางกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ของการทำโฆษณาให้ตรงจุดในแต่ละช่วงของ Marketing Funnel ซึ่งผลดีของการทำโฆษณาออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพนั้นจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณ เพราะนอกจากจะสร้าง Band Awareness ให้ธุรกิจของคุณได้แล้วยังสามารถเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของคุณได้, เพิ่มจำนวนลูกค้าให้โทรหาคุณมากขึ้น, สามารถกระตุ้นและติดตามให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าของคุณซ้ำได้ นอกจากนี้เมื่อกลุ่มคนมีพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เนตที่ต่างกันการทำโฆษณาออนไลน์ ทั้ง Google และ Facebook ก็สามารถเลือกโฆษณาเฉพาะบนอุปกรณ์ได้เช่นกัน อ่านบทความ กลยุทธ์การทำโฆษณาออนไลน์ให้ตรงใจผู้บริโภคปี 2021 เพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่และในบทนี้เราก็จะขออธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณาออนไลน์อีกครั้ง ทั้งการทำโฆษณา Facebook และการทำโฆษณา Google

 

2.1 วัตถุประสงค์ในการทำโฆษณา Facebook

 

วิธีการเลือกและตั้ง Facebook Ads Objective

 

  • Awareness คือการสร้างการรับรู้ถึงการมีตัวตนของธุรกิจคุณบนโลกออนไลน์กับกลุ่มเป้าหมายที่น่าจะสนใจธุรกิจของคุณ (เหมาะสำหรับร้านขายของออนไลน์เปิดใหม่หรือ SME ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก) เลือกวัตถุประสงค์นี้ในกลยุทธ์ทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายช่วง Top of Marketing Funnel

 

  • Consideration คือการมุ่งหาคนที่มีความสนใจ โดยการนำเสนอสื่อหรือ Content ใด ๆ ที่น่าสนใจเพื่อตอบสนองความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย จนเกิดการ Take Action บางอย่าง เช่น การดู VDO Content, การคลิกเข้าเว็บไซต์, การคอมเม้นต์ หรือการลงทะเบียน เป็นต้น (เหมาะสำหรับร้านขายของออนไลน์หรือ SME ที่ยังเริ่มเปิดร้านมาสักระยะ มีคนรู้จักธุรกิจของคุณแล้ว) เลือกวัตถุประสงค์นี้ในกลยุทธ์ที่นำเสนอความน่าสนใจหรือตอบโจทย์ความต้องการกับกลุ่มเป้าหมายช่วง Middle of Marketing Funnel

 

  • Conversion คือการมุ่งหาคนที่คลิกสั่งซื้อบนเว็บไซต์หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น (เหมาะสำหรับร้านขายของออนไลน์หรือ SME ที่มีคนรู้จักมีลูกค้าที่เคยซื้อสินค้ากับคุณไปแล้ว) เลือกวัตถุประสงค์นี้ในกลยุทธ์การปิดการขายและประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายช่วง Bottom of Marketing Funnel

 

2.2 วัตถุประสงค์ในการทำโฆษณา Google

 

จุดเด่นที่ถือเป็นหน้าที่หลักของการทำโฆษณา Google เลยก็คือ การสร้าง Brand Awareness เหมือนกับการทำโฆษณา Facebook แต่สิ่งที่เราคิดว่าเป็นข้อดีของ Google Ads เลยก็คือ กลุ่มเป้าหมายของคุณสามารถเจอโฆษณาสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้หลายช่องทางมากกว่า Facebook เนื่องจาก Google สามารถนำส่งโฆษณาของคุณไปยังเว็บไซต์พาร์ตเนอร์ของ Google และรวมไปถึง Youtube ได้ หรือการทำ Google Ads ซื้อ Keywords เพื่อให้ลูกค้าของคุณค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ แล้วเจอเว็บไซต์คุณในหน้าแรกของ Google

 

และเครื่องมือสำหรับกลยุทธ์สร้างการรับรู้กับกลุ่มเป้าหมายช่วง Top of Marketing Funnel นอกจากการมีแบนเนอร์โฆษณาที่สามารถดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายได้ หรือการมี Keywords ที่เป็นคำค้นหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญนั่นก็คือการมีเว็บไซต์ที่ดีนั่นเอง

 

3. เลือกใช้เครื่องมือการทำโฆษณาให้เหมาะสมและครบถ้วน

 

เมื่อคุณเลือกวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณาออนไลน์ และสร้างกลยุทธ์เพื่อดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายในช่วงต่าง ๆ ของ Marketing Funnel ได้แล้ว อย่างที่เราได้เกริ่นไปในข้อที่แล้ว นั่นก็คือ การมีมือเครื่องที่ดีในการรองรับการทำโฆษณาที่เหมาะสมและครบถ้วนกับแต่ละวัตถุประสงค์

 

3.1 เครื่องมือที่ใช้สำหรับการสร้าง Brand Awareness

 

การทำโฆษณา Facebook เครื่องมือสำคัญมีดังนี้

 

การทำโฆษณา Facebook วิธีทำ วิธีใช้

 

  • Facebook Page ของธุรกิจคุณ : ควรใส่ข้อมูลของธุรกิจ ที่อยู่ ช่องทางติดต่อ สินค้าและบริการต่าง ๆ ที่มีอย่างละเอียดบน Facebook Page

 

  • Banner Advertising แบนเนอร์โฆษณาที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย: โดยส่วนใหญ่การทำ Banner Ads สำหรับสร้างการรับรู้นั้น โดยส่วนมากจะเลือกรูปภาพที่สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ว่า สินค้าและบริการของคุณคืออะไร พร้อมกับข้อความที่เป็นความสำคัญของสินค้าหรือบริการ และจบด้วยปุ่มหรือข้อความที่เป็น Call to Action เช่น สนใจคลิกเลย, ช้อปเลย, สอบถามเพิ่มเติมที่ เป็นต้น

 

การทำโฆษณา Google เครื่องมือสำคัญ มีดังนี้

 

การทำโฆษณา Google

 

การมี "เว็บไซต์" อย่างที่ได้กล่าวไปในหัวข้อที่ 3 การทำ Google Ads ส่วนใหญ่แล้วคือการหา Traffic เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ที่เป็นเสมือนสำนักงานหรือร้านค้าที่ขายสินค้าออนไลน์ของคุณ ฉะนั้นการมีเว็บไซต์ที่ดีสำหรับการทำโฆษณา Google จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยคุณลักษณะของเว็บไซต์ที่ดีนั้นประกอบด้วย

 

  • รองรับการทำ SEO : เพราะการทำ SEO ต้องใช้ Keywords ที่เราใช้ใน Google Ads เพื่อสนับสนุนให้การทำโฆษณาแบบการซื้อคำค้นหาให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นสำหรับธุรกิจในระยะยาว

 

  • มี Call-to-Action ที่ดูน่าสนใจ : เช่น การมี Popup Banner หรือ Promotion Popup บนหน้าเว็บไซต์ก็ช่วยสร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี หรือการมีปุ่มกดรวมช่องทางการติดต่อของคุณ อาทิ Facebook, Line OA, เบอร์โทร หรือปุ่มสำหรับแชทเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณดูเป็นมืออาชีพเพิ่มขึ้น

 

Readyplanet ขอแนะนำ R-Web แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ และ R-Widget ปุ่มติดต่ออัจฉริยะสำหรับเว็บยุคใหม่ ที่คุณสามารถสร้าง Promotion Popup บนเว็บไซต์ เพิ่มรูปภาพ ข้อมูล ตกแต่งสีและตั้งค่าการแสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ได้ ช่วยทำให้สินค้าหรือบริการดูน่าสนใจขึ้น เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายได้มากขึ้น  อีกทั้งยังสามารถดูสถิติของลูกค้าที่คลิก Popup เพื่อนำสถิติเหล่านั้นไปใช้วิเคราะห์ต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย

 

  • รองรับการทำ Responsive Design : คือการออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าตาของเว็บไซต์ให้เข้ากับทุกอุปกรณ์

 

  • มีเนื้อหาและภาพประกอบสินค้าที่น่าสนใจ : ความสำคัญของเนื้อหาที่อยู่บนเว็บไซต์ นอกจากจะต้องมี Keywords ที่เอื้อต่อการทำ SEO แล้ว จะต้องเสนอสินค้าหรือบริการของคุณที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและข้อมูลที่กลุ่มเป้าหมายของคุณอยากรู้ได้อีกด้วย อ่านบทความ 7 ขั้นตอน ทำสินค้าบนเว็บไซต์ ให้น่าซื้อ เพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่

 

 

4. รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

 

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

 

เพราะโลกออนไลน์ในปัจจุบันแข่งขันกันดุเดือดมากเหลือเกิน การสำรวจตลาดและคู่แข่งอยู่ตลอดเวลาถือเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดทุกคนควรพึงกระทำ เพื่อประโยชน์ในการนำข้อมูลของคู่แข่งไปวิเคราะห์และช่วยพัฒนาการขายสินค้าออนไลน์ของคุณในมิติต่าง ๆ เช่น การทำโปรโมชั่น, วิธีการหรือรูปแบบนำเสนอสินค้า ที่สำคัญยังช่วยให้คุณสามารถนำมาปรับปรุงและพัฒนาแคมเปญการทำโฆษณาออนไลน์ ในครั้งต่อไปให้ได้ผลดีมากยิ่งขึ้น

 

เครื่องมือที่นักการตลาดส่วนใหญ่ใช้วิเคราะห์คู่แข่งในตลาดเดียวกับธุรกิจของตนเอง ได้แก่ เครื่องมือที่ชื่อว่า SWOT Analysis คือการหาข้อมูลมาใส่ลงในตัวอักษรที่เป็นตัวย่อของความหมายต่างๆ เช่น

 

S = Strength (จุดแข็งของคุณและคู่แข่งคืออะไร?)

 

W = Weakness (จุดอ่อนคุณและคู่แข่งคืออะไร?)

 

O = Opportunity (โอกาสคุณและคู่แข่งคืออะไร?)

 

T = Threat (อุปสรรคคุณและคู่แข่งคืออะไร?)

 

ฉะนั้นการตอบคำถามให้ครบ SWOT ได้นั้นจะช่วยให้คุณวิเคราะห์สถานการณ์ ความได้เปรียบเสียเปรียบในตลาดออนไลน์ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเมื่อคุณวิเคราะห์ได้แม่นยำตรงจุดแล้วละก็ รับรองว่าจะขายอะไรก็มาวินแน่นอน

 

5. การนำเสนอข้อมูลสินค้าและบริการ พร้อมช่องทางการติดต่อที่ครบถ้วนให้กับลูกค้า

 

การนำเสนอเป็นศาสตร์การสื่อสารอย่างหนึ่งที่ท้าทายคนทำธุรกิจมาก ๆ ที่ต้องผสมผสานระหว่างความสวยงามกับการขายให้ได้ลงตัวพอดิบพอดี แต่กระนั้นก็ยังไม่สำคัญพอสำหรับการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมาย เพราะธุรกิจออนไลน์ ถูกขับเคลื่อนให้เปลี่ยนผันไปตามพฤติกรรมความชอบของผู้บริโภคอย่างชัดเจน ฉะนั้นการนำเสนอสิ่งที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายต่างหากที่สำคัญเป็นอันดับที่หนึ่ง อย่างที่ทราบกันดีว่า การทำโฆษณาออนไลน์ไม่ว่าจะ ทำโฆษณา Google หรือทำโฆษณา Facebook เป็นการเรียกคนเข้ามาให้พบสินค้าและบริการของคุณ ฉะนั้นการนำเสนอข้อมูลสินค้าและบริการที่ตรงใจ ตรงตามความต้องการ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าคุณ

 

แต่ใช่ว่าความสวยงามจะไม่มีผล การเลือกรูปสินค้า การเลือกคำหรือข้อมูลสินค้าและบริการที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายมานำเสนอ ก็เป็นอีกแรงที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าและธุรกิจให้น่าซื้ออีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน สำคัญที่สุดในหัวข้อนี้ เมื่อคุณสามารถนำเสนอข้อมูลสินค้าและบริการที่ตรงกับใจ สามารถดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายได้มากพอ “ช่องทางการติดต่อที่ครบถ้วน” ทั้ง Facebook, IG, Line หรือโทร ตามความสะดวกของลูกค้า คือสิ่งสำคัญในลำดับถัดไป เพราะหากลูกค้าเข้าร้านมาเลือกสินค้าของคุณแล้ว แต่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย หรือสนใจซื้อแล้วแต่ไม่มีช่องทางสำหรับการสอบถามและสั่งซื้อ คงไม่ดีแน่

 

Readyplanet ขอแนะนำ R-Widget ปุ่มติดต่ออัจฉริยะสำหรับเว็บยุคใหม่ ที่รวมช่องทางติดต่อยอดนิยม ครบ จบในปุ่มเดียว

 R-Widget ปุ่มติดต่ออัจฉริยะสำหรับเว็บยุคใหม่

 

6. การบริหารจัดการ Lead เพื่อให้สามารถปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หลายครั้งที่ธุรกิจประสบปัญหา “ลูกค้าติดต่อเข้ามาแล้วหายไป” ไม่รู้ว่าจะติดต่อลูกค้าได้อย่างไร เพราะไม่ได้เก็บข้อมูลลูกค้าไว้ , เซลส์ปิดการขายไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลลูกค้าที่เพียงพอ, ไม่ทราบความต้องการหรือปัญหาของลูกค้า และจะส่งต่อเซลส์ที่เก่งกว่าก็ทำได้ยาก เพราะไม่รู้ว่าเซลส์เก่าเคยคุยอะไรกับลูกค้าไว้บ้าง ปัญหาเหล่านี้น่าปวดหัวและไม่ควรเกิดขึ้นเลยในยุคดิจิทัลนี้!

 

R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย คือเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการจัดการ Lead ของลูกค้าเพื่อให้สามารถปิดการขายได้มากขึ้น พร้อมทั้งสามารถให้คุณบริหารทีมขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรีกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ SMEs ของไทย

 

“ข้อมูลจาก financesonline.com ที่รวบรวมผลสำรวจของบริษัท CRM Software มากถึง 54 บริษัทในปี 2020 ที่ทำสำรวจกับกลุ่มลูกค้าที่ใช้ ระบบ CRM กับธุรกิจพบว่า “CRM สามารถเพิ่มยอดขายได้ 29% เพิ่มผลผลิต 34% และคาดการณ์ความแม่นยำได้ 42%”

 

R-CRM ช่วยทำอะไรได้บ้าง?

R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ระบบ CRM โปรแกรม Lead Management Sales Report

 

6.1 ช่วยเจ้าของธุรกิจบริหารทีมขายในองค์กรของคุณ : ด้วย 3 ฟีเจอร์หลัก

 

  • User Management ฟีเจอร์ที่ช่วยให้หัวหน้าทีมขายหรือเจ้าของธุรกิจ สามารถบริหารจัดการทีมขายในองค์กรของคุณ ทั้งการลบ-เพิ่มผู้ใช้ใหม่ และการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของระบบในส่วนต่าง ๆ ของผู้ใช้แต่ละคน

 

  • Teams เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณจัดการทีมขายที่สามารถกำหนดให้ใครเป็นหัวหน้าทีมและมีใครเป็นสมาชิกในทีมบ้าง นอกจากเรื่องความง่ายในการจัดการแล้ว เจ้าของธุรกิจและหัวหน้าทีมสามารถประเมินศักยภาพของทีมขายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

  • Lead Transfer จะช่วยให้คุณส่งต่อรายการขายและรายชื่อลูกค้าของพนักงานขายที่ลาออกไปยังพนักงานขายหรือกลุ่มคนที่จะมารับช่วงต่อได้อย่างง่ายดาย

 

6.2 ช่วยทีมขายให้ทำงานสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น : ด้วย 8 ฟีเจอร์ ดังนี้

 

  • Lead Inbox ตัวช่วยที่ดีในการติดตามงานขายของลูกค้าแต่ละคนในแต่ละขั้นตอนได้ทุกวัน ช่วยให้พนักงานขายเริ่มงานขายในแต่ละวันได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าวิธีการทำงานแบบเดิม

 

  • Label ฟีเจอร์ที่ช่วยจำแนกประเภทหรือความสำคัญของรายการขายแต่บะรายการได้ด้วย ป้ายกำกับ

 

  • Note เพิ่มบันทึกรายละเอียดสำคัญ ๆ ที่ได้พูดคุยกับลูกค้าไว้ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าเมื่อต้องติดต่อกับลูกค้าในครั้งถัดไป

 

  • Reminder พนักงานขายแต่ละคนสามารถตั้งวันที่และเวลาแจ้งเตือนสำหรับการติดต่อหรือพบลูกค้าในครั้งถัดไปได้

 

  • Documents ระบบในการรวบรวมเอกสารสำคัญไว้ที่ศูนย์กลาง ช่วยให้พนักงานขายทุกคนสามารถเข้ามาใช้งานเอกสารต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

 

  • Products ฟีเจอร์นี้จะช่วยลดความยุ่งยากในการใส่รายละเอียดสินค้าในใบเสนอราคา เพราะคุณสามารถใส่รายละเอียดสินค้า ทั้ง ชื่อสินค้า ราคา รหัส ไว้ในระบบ เมื่อพนักงานขายต้องการสร้างใบเสนอราคาก็สามารถคลิกเลือกสินค้าที่อยู่ในระบบได้เลย โดยไม่ต้องพิมพ์รายละเอียดใหม่ทุกครั้ง

 

  • Quotation / Invoice ความสะดวกอีกประการสำหรับพนักงานขายอีกอย่างนั่นก็คือ ใน R-CRM สามารถสร้างใบเสนอราคาและใบInvoice แบบง่าย ๆ ได้ในระบบ

 

  • E-mail เมื่อพนักงานขายสร้างใบเสนอราคาหรือใบ Invoice เสร็จแล้วก็สามารถแนบไฟล์เอกสาร ส่งอีเมลหาลูกค้าได้ในระบบ R-CRM ได้ทันที โดยไม่ต้องเปิด Gmail ให้เสียเวลาอีกต่อไป ข้อดีอีกประการคือสามารถแจ้งสถานะว่าอีเมลของคุณ ลูกค้าได้เปิดอ่านแล้วหรือไม่ได้อีกด้วย

 

อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถอ่านบทความ 5 เหตุผลดี ๆ ที่ธุรกิจควรใช้ R-CRM โด้โดย คลิกที่นี่

 

7. ประเมินผลการทำโฆษณาและพัฒนาแคมเปญโฆษณาให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

 

สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะทำโฆษณาออนไลน์ผ่านช่องทางไหนก็ตามแต่ การประเมินผลลัพธ์ในการทำแคมเปญโฆษณาคือสิ่งที่คุณต้องทำทุกครั้ง เพราะการทำโฆษณาออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพดีในระยะยาวได้นั้น คือต้องทดลองทดสอบและปรับปรุงพัฒนาให้แคมเปญโฆษณาของคุณให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในมิติของการทดลองและวัดผลกลุ่มเป้าหมาย (Targets), Content (เนื้อหาและภาพโฆษณา) หรือแม้กระทั่งวัด ROI (Return on Investment) แปลให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ยอดขายที่ได้เทียบกับการลงทุนค่าโฆษณาในแคมเปญนั้น ๆ เป็นต้น

 

นอกจากนั้นการพัฒนาแคมเปญโฆษณาให้ดีอยู่เสมอนั้น สิ่งสำคัญที่ถือเป็นหัวใจของการทำโฆษณาคือการรู้จักพฤติกรรมของลูกค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ และเครื่องมือสำคัญที่จะมาช่วยคุณเก็บข้อมูลเหล่านี้ เพื่อเก็บและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้นั้น มีดังนี้

 

Dive into the details.

 

  • Google Analytic คือ ทราบถึงข้อมูลทางสถิติที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณสามารถใช้วิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่าง ๆ ทั้งช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์, พฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์, สถิติการเข้าชมในแต่ละหน้าเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้คุณสามารถนำมาข้อมูลมาใช้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการตลาดและการทำโฆษณาให้ดียิ่งขึ้น

 

  • Google Tag Manager คือ เครื่องมือฟรีของ Google ที่เป็นเสมือนคอนเทรนเนอร์สำหรับเอาไว้บรรจุ Tag อื่น ๆ เช่น Google Analytics, Google Adword, Facebook Pixel และ Tag ประเภทต่าง ๆ เพื่อช่วยในการติดตามพฤติกรรมการใช้งานต่าง ๆ ของลูกค้าที่เข้ามายังเว็บขายสินค้าออนไลน์ของคุณ

 

  • Conversion Tracking คือ เครื่องมือการวัดผลของการกระทำอะไรบางอย่างของกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น คลิกสั่งซื้อ, ขอใบเสนอราคา, กรอกฟอร์มลงทะเบียน ซึ่งแล้วแต่การตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแต่ละธุรกิจ นอกจากนั้น การติด Conversion Tracking บนเว็บไซต์ จะช่วยในการวัดผลว่าช่องทางไหนบ้างที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดี ไปจนถึงการวัดผลว่าช่องทางไหนสามารถเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปเป็นลูกค้าที่ปิดการขายได้มากที่สุดอีกด้วย

 

  • Facebook Pixel คือ เครื่องมือที่ Facebook ใช้ในการ Tracking เพื่อติดตามพฤติกรรม, เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า คล้ายกับ Google Tag Manager  รวมถึงช่วยยกระดับการทำโฆษณาออนไลน์ ขึ้นไปอีกระดับนึง เพราะเราสามารถใช้ข้อมูลที่แม่นยำจากการติดโค้ด Facebook Pixel นี้เพื่อการทำ Retargeting / Remarketing ที่มีประสิทธิภาพและตรงจุดมากยิ่งขึ้น

 

และทั้งหมดนี้คือ 7 แนวทางการทำโฆษณาให้ประสบความสำเร็จ ที่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SME มือใหม่หรือเก่าและเก๋าอยู่บนโลกออนไลน์ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสู้ในการทำธุรกิจ ท่ามกลางมหาสมุทรสีแดงของการทำธุรกิจออนไลน์ที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ

AdPro Dynamic บริการโฆษณาออนไลน์ Google Facebook

 

สำหรับ SME มือใหม่ ที่เมื่ออ่านบทความแล้ว มุ่งมั่นและมองหาหาสรรพกำลังมาเสริมทัพ เพื่อการแข่งขันบนโลกออนไลน์ที่ดุเดือด Readyplanet ขอแนะนำ Adpro Dynamic ที่ไม่ใช่แค่การทำโฆษณาออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ แต่เรายังมี Advertising Specialist ที่พร้อมให้คำแนะนำ และสร้างแคมเปญโฆษณาของคุณด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญเชิงลึก จากประสบการณ์ในการดูแลลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า 10 ปี ทั้งด้านการวางแผนโฆษณา และนำ Customer Insights ของธุรกิจคุณ มาใช้เพื่อสร้างเป็นโฆษณาที่ลูกค้าชอบ และตรงใจมากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจได้ลูกค้าตัวจริง

 

สำหรับผู้ที่สนใจบริการโฆษณา AdPro Dynamic สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่

 

 

Updated: 9 February 2021 | Produced by: Dujnapa Chauthamcharoen