6 สัญญาณที่บอกว่าธุรกิจของคุณควรหาระบบ CRM มาใช้ได้แล้ว!
เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้เราอาศัยอยู่บนโลกของการทำธุรกิจที่ลูกค้ากว่า 60% ค้นหาสินค้าและบริการที่พวกเขาต้องการจากเครื่องมือต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ ทั้งการค้นหาผ่าน Google, Facebook หรือ Instagram ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังเว็บไซต์หรือการโทรศัพท์เพื่อสอบถามข้อมูลต่าง ๆ กับบริษัทของคุณ และที่สำคัญคือพวกเขาใช้หลายอุปกรณ์ อาทิ โทรศัพท์มือถือ, แลปท็อปหรือคอมพิวเตอร์ ในการเข้าถึงข้อมูลสินค้าและบริการอีกด้วย
ฉะนั้น การที่ธุรกิจต่าง ๆ จะสามารถนำส่งสินค้าและบริการให้เข้าถึงคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ในหลากหลายช่องทางไปจนกระทั่งปิดการขายได้นั้น คุณอาจจะต้องใช้การทำโฆษณาออนไลน์ให้ครอบคลุมทุกช่องทาง รวมถึงระบบ CRM เพื่อเก็บข้อมูลและติดตามกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ พร้อมทั้งสามารถบริหารจัดการลูกค้าได้อย่างตรงจุดและมีชั้นเชิงมากขึ้นอีกด้วย
จากข้อมูลเชิงสถิติของ capterra.com ในการสำรวจข้อมูลของธุรกิจกว่า 500 ธุรกิจที่ใช้ระบบ CRM พบว่า 47% ของผู้ใช้ CRM สามารถการรักษาลูกค้าและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้ 45% ของผู้ใช้ CRM สามารถเพิ่มยอดขายได้ และ 39% ของผู้ใช้ CRM สามารถ Upsell และ Cross - Sell ได้
แล้วทำไมหลายธุรกิจยังคงลังเลที่จะใช้ CRM
บางคนอาจคิดว่า ระบบ CRM เหมาะสำหรับองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีลูกค้าจำนวนเยอะ ๆ ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ว่าจะธุรกิจใด ๆ ยุคสมัยนี้ก็ควรมี CRM ไว้ใช้ในองค์กร เพราะไม่ใช่แค่ระบบที่ช่วยบริหารจัดการลูกค้าจำนวนมากได้ แต่ยังสามารถช่วยให้คุณบริหารจัดการทีมขาย พร้อมกับสามารถวัดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานขายแต่ละคนได้อีกด้วย บางคนอาจคิดว่า ระบบ CRM มีความยุ่งยากในการใช้งาน และประเด็นสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่มาพร้อมกับระบบ ฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องรู้ในลำดับถัดไปคือ ธุรกิจของคุณมีความจำเป็นในการใช้ CRM แล้วหรือยัง?
วันนี้ Readyplanet มี 6 สัญญาณที่บอกว่าธุรกิจของคุณควรหา ระบบ CRM มาใช้ได้แล้ว! มาฝากกัน
1. ธุรกิจของคุณทำโฆษณาออนไลน์มาสักระยะนึงแล้ว
เพราะลูกค้าทุกคนที่เข้ามามีต้นทุน ยิ่งในปัจจุบันการหาลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ เกิดจากการทำโฆษณาออนไลน์ ฉะนั้นลูกค้าแต่ละคนที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นจากเว็บไซต์, Facebook Page, Instagram หรือแม้กระทั่งการโทรเข้ามาสอบถามข้อมูล ย่อมมีต้นทุนที่เกิดจากการทำโฆษณาออนไลน์ทั้งสิ้น หากธุรกิจของคุณไม่มีเครื่องมือที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาอย่างเป็นระบบแล้วล่ะก็ มันก็เหมือนคุณทิ้งต้นทุนของคุณไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งการจะเก็บข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาอย่างเป็นระบบได้นั้น คุณจะต้องเข้าใจเรื่อง Sales Pipeline เสียก่อนเพื่อจะได้เข้าใจ "โอกาสการขาย" ของลูกค้าในแต่ละช่วงของ Sales Pipeline
ยกตัวอย่างเช่น
Sales Pipeline ช่วงแรก : คือกลุ่มคนที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าของคุณได้น้อย เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ติดต่อเข้ามาสอบถามข้อมูลตามช่องทางการขายต่าง ๆ ของคุณ แต่ยังไม่ได้ขอใบเสนอราคาเพื่อทำการซื้อขายสินค้าและบริการ ซึ่งการเก็บข้อมูลของคนกลุ่มนี้อาจจะต้องใช้เครื่องมืออย่าง Google Tag Manager, Google Analytics, Google Ads หรือ Facebook Pixel คอยเก็บข้อมูลของกลุ่มคนที่เข้ามายังเว็บไซต์, Facebook Page, การเข้ามาดู VDO Content หรือเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับโพสต่าง ๆ ของคุณ เพื่อทำการ Remarketing / Retargeting Ads ไปกระตุ้นการรับรู้ถึงสินค้าและบริการของคุณกับกลุ่มคนเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง
ความสำคัญของการมี ระบบ CRM ใน Pipeline ช่วงแรกนี้คือ บางฟีเจอร์ของ CRM สามารถบอกถึงที่มาของ Lead ที่ได้ ว่ามาจากช่องทางไหน ไม่ว่าจะเป็น Facebook Ads, Google Ads, Line Official, Instagram หรือเว็บไซต์ เป็นต้น ข้อดีของข้อมูลเหล่านี้คือคุณจะได้ทราบว่าการลงโฆษณาผ่านช่องทางไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด นำไปสู่การตัดสินใจเลือกใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นในช่องทางนั้น หรือแม้กระทั่งการลดงบ, ตัดงบการโฆษณาบนช่องทางที่ไม่เกิดผลลัพธ์กับธุรกิจของคุณ เป็นต้น
Sales Pipeline ช่วงที่สอง : คือกลุ่มที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าของคุณมากขึ้น เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ให้ข้อมูลพื้นฐาน อาจจะเป็นชื่อหรือเบอร์โทรติดต่อกลับ ไปจนถึงการขอใบเสนอราคาจากคุณไปแล้ว
ส่วนของ Pipeline ช่วงที่สองนี้เอง ที่พนักงานขายหลายคนทำข้อมูลลูกค้าตกหล่นหายไป หากมีการเก็บข้อมูลลูกค้าที่ไม่เป็นระบบและไม่สามารถแชร์ข้อมูลต่าง ๆ แก่เพื่อนร่วมทีมหรือหัวหน้าฝ่ายขายได้ หรือแม้กระทั่งการดูข้อมูลการแก้ไขย้อนหลังของลูกค้ากลุ่มนี้ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการสูญหายและการมีข้อมูลที่ผิดพลาดได้ ฉะนั้นการมีระบบ CRM ที่ดีที่สามารถเก็บข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ ของลูกค้าที่เข้ามาได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการสูญหายและผิดพลาดของข้อมูลลูกค้า อีกทั้งหัวหน้าทีมขายสามารถเข้ามาดูและตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าได้ ก็จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจและหัวหน้าทีมขายมองเห็นภาพรวมของการขายได้อย่างสะดวก แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
และสิ่งที่คุณต้องทำเพิ่มเติมนอกจากการเก็บข้อมูลที่เป็นข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ฯลฯ ก็คือการติดตามสอบถามลูกค้ากลุ่มนี้เพื่อปิดการขายนั่นเอง
Sales Pipeline ช่วงที่สาม : คือกลุ่มคนที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าของคุณสูงมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในระหว่างการต่อรองราคาและข้อเสนอบางอย่างเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณอยู่ สิ่งที่คุณต้องทำกับลูกค้ากลุ่มนี้คือ การหาหรือเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปัญหา ความต้องการหรือสิ่งที่ลูกค้าสนใจอยู่ไปนำเสนอ เพื่อเร่งระยะเวลาในการตัดสินซื้อสินค้าของลูกคุณให้เร็วมากขึ้น ซึ่งถ้าคุณมี CRM ที่มีฟีเจอร์สำหรับ Note เพื่อบันทึกสิ่งที่พนักงานขายแต่ละคุยกับลูกค้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการ ปัญหาหรือแม้กระทั่งข้อเสนอต่าง ๆ ที่เคยคุยกับลูกค้าเอาไว้ ก็จะสามารถเป็นประโยชน์แก่หัวหน้าทีมขาย นำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ เพื่อนำเสนอสิทธิพิเศษหรืออำนวยความสะดวกในด้านที่ลูกค้าต้องการเพิ่มเติม จนนำไปสู่การติดสินใจซื้อขายกันได้นั่นเอง
Sales Pipeline ช่วงที่สี่ : คือกลุ่มคนที่เป็นลูกค้าของคุณตัวจริง 100% กลุ่มนี้มีการซื้อขายสินค้าและบริการของคุณมาแล้ว ข้อมูลของลูกค้าตัวจริงนั้นมีประโยชน์มากมายกับการทำธุรกิจของคุณในปัจจุบันนี้ เช่น การนำเบอร์โทร อีเมลของลูกค้าตัวจริงไปใช้ทำ Custom Audience กับ Facebook Ads เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ ๆ สิทธิพิเศษหรือโปรโมชั่นต่าง ๆ ให้แก่กลุ่มลูกค้าเก่ากลุ่มนี้ หรือแม้กระทั่งสามารถนำข้อมูลส่วนนี้ไปทำ Lookalike ค้นหากลุ่มคนที่มีความเหมือนหรือคล้ายกับลูกค้าตัวจริงของคุณ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาสู่ธุรกิจของคุณ
ที่สำคัญคือ การมีระบบ CRM จะช่วยต่อยอดธุรกิจของคุณได้หลายวิธี เพราะกลุ่มลูกค้าส่วนนี้ที่ถือว่ามี Potential มากที่สุดใน Sales Pipeline นอกจากประโยชน์ของการทำโฆษณาออนไลน์แล้ว ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการเก็บบันทึกไว้ใน CRM ของลูกค้าแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการที่ขาย สถิติการซื้อซ้ำ หรือแม้กระทั่งคอมเม้นต์ คำติชมต่าง ๆ ก็สามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาสินค้าและบริการนั้น ๆ ของคุณได้ หรือที่ง่ายที่สุดคือ ข้อมูลสินค้าที่ลูกค้าซื้อไป อาจนำไปสู่การนำเสนอขายสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่สามารถใช้คู่กันแล้วมีประโยชน์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการหรือผลลัพธ์ที่ดีกับลูกค้าของคุณเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย
2. ธุรกิจของคุณมีจำนวน Lead ของลูกค้าที่ต้องติดตามเพื่อปิดการขายมากขึ้น
ดังที่ Readyplanet ได้กล่าวไปในข้อที่ 1 ซึ่งเราพูดกันถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในช่วงสองและช่วงที่สาม ของ Sales Pipeline ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสจะกลายเป็นลูกค้าของคุณค่อนข้างสูง แต่ต้องอาศัยการติดตามของพนักงานขายและต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าค่อนข้างเยอะ อาทิ ความต้องการ ปัญหา รวมไปถึงสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจากแบรนด์หรือสินค้าและบริการของคุณอีกด้วย ไม่ว่าจะด้วยการสอบถามโดยตรงกับลูกค้าหรือการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ ด้วยตัวคุณเองก็ตาม ยิ่งถ้าธุรกิจของคุณเป็นประเภท B2B แล้วล่ะก็ หัวหน้าทีมขายและพนักงานขายอาจจะต้องทำการบ้านหนักขึ้น เพื่อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจของลูกค้าเพิ่มขึ้น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งของลูกค้าคุณ หรือแม้กระทั่งข้อมูลของคู่แข่งของคุณเอง เพื่อนำเสนอจุดแข็งของสินค้าที่เหนือกว่าเจ้าอื่น ๆ ในตลาด เป็นต้น
แน่นอนว่าการเสนอขายครั้งนั้น ๆ กับกลุ่มเป้าหมายนี้ทุกคน คุณอาจจะไม่สามารถปิดการขายได้ทั้งหมดก็จริง แต่การเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้ากลุ่มนี้ไว้ใน ระบบ CRM แล้วล่ะก็ มันจะมีประโยชน์ต่อการเสนอขายสินค้ากับลูกค้ากลุ่มนี้ได้อีกแน่นอน
และในส่วนนี้เองสำหรับ R-Insights ที่เป็นฟีเจอร์จาก R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ของ Readplanet ที่สามารถรายงานสถิติการขายแต่ละช่วงของ Sales Pipeline สรุปรายงานการขายในช่วงเวลาต่าง ๆ สินค้าที่ขายดี รวมถึงศักยภาพการขายของพนักงานแต่ละคนได้อีกด้วย
3. ทีมขายของคุณยังใช้งาน Spreadsheet เพื่อเก็บข้อมูลของลูกค้า
“คุณเคยพบว่าพนักงานขายของคุณกำลังค้นหาอีเมลของลูกค้าเพื่อส่งให้คุณ แม้กระทั่งการหาเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงหมายเลขโทรศัพท์หรือไม่?”
และนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ ระบบ R-CRM ช่วยคุณได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณได้รับข้อมูลลูกค้าใหม่ คุณก็สามารถอัปเดตได้ทันที อีกทั้งยังสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่าย ไม่ต้องใช้กระดาษโน้ตหรือ Spreadsheet อีกต่อไป เพราะนอกจากการเก็บข้อมูลที่กระจัดกระจายกันอยู่ของพนักงานขายแต่ละคน ทำให้เสี่ยงต่อการสูญหายของข้อมูลแล้ว หัวหน้าทีมขายก็ยังเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ยาก อีกทั้ง Spreadsheet ก็มีปัญหามากมายที่เกิดจากการใช้งาน ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จากบทความนี้ ไขความเชื่อ ใช้ Spreadsheet เก็บฐานลูกค้าได้จริงไหม ได้โดย คลิกที่นี่
ข้อดีของ R-CRM คือจะช่วยรวมทุกอย่างไว้ที่ศูนย์กลาง ไม่ว่าคุณจะทำงานคนเดียวหรือมีทีมขาย 100 คน คุณก็สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้า รวมถึงติดตามและเห็นประสิทธิภาพการทำงานของทีมขาย รวมถึงการรวบรวม Sales Pipeline ของพนักงานขายแต่ละคนได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ข้อดีอีกประการคือช่วยให้ทีมขายของคุณไม่ต้องเสียเวลากับการทำ Sales Report เพราะ R-CRM จะช่วยเก็บข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามายังช่วงต่าง ๆ ของ Sales Pipeline อีกทั้งยังช่วยวิเคราะห์และจำแนกลูกค้าไว้หลากหลายประเภท และสามารถเชื่อมกับระบบ R-Insights ที่ช่วยให้ผู้บริหารดูข้อมูลสถิติต่าง ๆ ได้ ดังนี้
3.1 แสดงภาพรวมของ Sales Pipeline หรือกระบวนการขายทั้งหมดได้ ทั้งจำนวน Lead ที่เข้ามาใหม่, จำนวน Lead ที่สนใจสินค้า ไปจนกระทั่งจำนวน Lead ที่สามารถปิดการขายได้
3.2 Lead Activities ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันที่มีการติดต่อและลงบันทึกในหน้าข้อมูลของ Lead ข้อดีของการดูข้อมูลตรงนี้จะช่วยให้ทีมขายรู้ความเคลื่อนไหวของจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในแต่ละวันได้
3.3 Lead Conversion จำนวนคนที่มีแนวโน้มว่าจะซื้อสินค้า โดยสามารถดูข้อมูลได้แบบรายวันหรือแต่ละช่วงเวลาได้ตามที่ต้องการ จำนวน Lead ที่มีโอกาสปิดการขายได้ ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ หัวหน้าทีมขายและพนักงานขายเองก็สามารถนำมาวิเคราะห์และวางแผนดี ๆ เพื่อนำเสนอสิทธิพิเศษหรือสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้เร็วขึ้น ก็อาจทำให้เพิ่มจำนวนของ Lead ที่ปิดการขายได้มากขึ้นนั่นเอง
4. ธุรกิจของคุณเริ่มวัดยอดขายไม่ได้
มีจุดหนึ่งของเจ้าของธุรกิจที่อาจรู้สึกว่าควบคุมไม่ได้ คุณอาจจะหงุดหงิดใจเพราะธุรกิจไม่เติบโตมากเท่าที่ควร ซึ่งไม่ว่าจะมาจากผลกระทบของเศรษฐกิจหรือโรคระบาด อาจทำให้การวัดยอดขายของคุณทำได้ยากขึ้น เนื่องมาจากการไม่สามารถคำนวณต้นทุนของธุรกิจได้อย่างถูกต้องแม่นยำนั่นเอง และที่แย่ไปกว่านั้นคือคุณเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่าจะวางแผนขั้นตอนต่อไปอย่างไรให้ถูกต้องดี ซึ่งสาเหตุหนึ่งของปัญหาการคำนวณต้นทุนของธุรกิจไม่ได้ คือคุณไม่ทราบว่าต้นทุนของธุรกิจคุณมีอะไรบ้าง อาทิ
- ต้นทุนของสินค้าและบริการ
- ต้นทุนค่าใช้จ่ายของพนักงานในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน, ค่าคอมมิชชั่น, ค่ารถ, ค่าโทรศัพท์ หรือค่าสถานที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานของพนักงาน
- ต้นทุนการทำการตลาด ทั้งออนไลน์หรือออฟไลน์ เป็นต้น
และต้นทุนการทำการตลาดนี่เอง เป็นหัวใจสำคัญของสาเหตุที่อาจจะทำให้การคำนวณต้นทุนของคุณคลาดเคลื่อนจนนำไปสู่การวัดยอดขายได้ไม่มีประสิทธิภาพ แม้คุณจะทราบเม็ดเงินที่ถูกใช้ไปในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรืออฟไลน์ แต่เชื่อเถอะว่าเจ้าของธุรกิจจำนวนมากไม่ทราบว่าการลงเงินโฆษณาหรือทำการตลาดผ่านช่องทางไหนคุ้มค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนไป หรือไม่ทราบด้วยซ้ำว่างบที่ใช้แต่ละช่องทางการขายและการตลาดนั้นเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน
ระบบ R-CRM จะช่วยให้คุณวัดผลประสิทธิภาพการทำโฆษณาออนไลน์และงบการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะสามารถแสดงผลที่มาของ Lead รายชื่อลูกค้าตามช่องทางต่าง ๆ ได้ รวมถึงยอดขายแบ่งตามแหล่งที่มาได้ (Sale by Source) สิ่งนี้ช่วยในการคาดการณ์งบประมาณการตลาดที่จะใช้แต่ละช่องทางการขาย ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องตรงใจลูกค้าและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ในขณะที่คุณอาจจะใช้งบประมาณที่ลดลงกว่าเดิม
5. ประสิทธิภาพการทำงานของทีมขายลดลง
สาเหตุหนึ่งของการทำให้ประสิทธิภาพของทีมขายลดลงคือ คุณมองไม่เห็นทีมขายของคุณ นี่เป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณตามจำนวนพนักงานขายในบริษัทของคุณ พนักงานขายใหม่ทุกคนอาจมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงาน การเก็บข้อมูลลูกค้า ที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่นอกวงเพราะไม่อาจเห็นภาพรวมของการทำงานและการติดตามการขายของพนักงาน อีกทั้งยังไม่ทราบว่าข้อมูลจากการทำ Sales Report ของพนักงานขายนั่นถูกต้องแม่นยำ อย่างที่ Readyplanet ได้บอกไปตั้งแต่ข้างต้นว่าหนึ่งในคุณสมบัติของ ระบบ R-CRM นั้นสามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจและหัวหน้าทีมขายเห็นภาพรวมของจำนวนลูกค้าแต่ละช่วงของ Sales Pipeline สามารถเช็คข้อมูลลูกค้าแต่ละรายได้อย่างละเอียดและสะดวกมากขึ้น เพราะข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดถูกรวมไว้ในระบบที่เป็นศูนย์กลางของบริษัท รวมถึงสามารถมองเห็นประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานขายแต่ละคนได้ ด้วยรายงาน Sales by User ที่สามารถดูได้ว่าพนักงานขายคนไหนสามารถปิดการขายได้มากหรือน้อยที่สุด ในแต่ละวัน สัปดาห์หรือเดือนได้
สาเหตุอีกประการที่ดูเหมือนเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่ถือเป็นอุปสรรคที่ขัดต่อการทำงานของพนักงานขายเป็นจำนวนมากนั่นคือ ขั้นตอนการทำงานบางอย่างที่ยุ่งยาก มีขั้นตอนการทำงานที่เสียเวลาการทำงานมาก เช่น การออกใบเสนอราคา, ออก Invoice, ส่งอีเมลหาลูกค้า, การค้นหาข้อมูลลูกค้าหรือเอกสารข้อมูลเก่า ๆ ของลูกค้า หรือแม้กระทั่งนั่งทบทวนข้อมูลและข้อเสนอต่าง ๆ เพื่อติดตามลูกค้าย้อนหลังจากที่ได้พูดคุยไปในครั้งที่แล้ว เป็นต้น
และก็เป็นอีกครั้งที่ฟีเจอร์ของ ระบบ R-CRM นั้นช่วยตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ เพื่อประหยัดเวลาและอำนวยความสะดวกในการทำงานของทีมขายได้อย่างลงตัว ด้วยฟีเจอร์หลัก ๆ ดังนี้
- Lead Inbox ที่ช่วยในการติดตามงานขายของลูกค้าแต่ละคนในแต่ละขั้นตอนได้ ช่วยให้พนักงานขายเริ่มงานขายในแต่ละวันได้รวดเร็วมากขึ้น
- Label ช่วยในเรื่องการเก็บข้อมูลที่ดีขึ้น ช่วยจำแนกประเภทหรือความสำคัญของรายการขายแต่ละรายการได้ด้วยป้ายกำกับ
- Note ช่วยบันทึกรายละเอียดสำคัญ ๆ ที่ได้พูดคุยกับลูกค้าไว้ เพื่อให้สามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้า รวมถึงเรื่องที่เคยติดตามกันไว้ในครั้งก่อน
นอกจากนั้นยังสามารถออกใบเสนอราคาและ Invoice พร้อมกับส่งอีเมลหาลูกค้าได้เลยทันที โดยไม่ต้องเข้าระบบอีเมลปกติพี่ส่งเอกสารให้กับลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อความสะดวกและรวดเร็วยิ่งกว่า ฟีเจอร์ของ R-CRM สามารถใส่รายละเอียดของสินค้าต่าง ๆ ทิ้งไว้ในระบบ และเมื่อการสร้างใบสร้างราคาในครั้งถัด ๆ ไปของพนักงานขายก็ไม่ต้องมานั่งพิมพ์รายละเอียดสินค้า ราคา หรือรหัสให้วุ่นวาย ยุ่งยากอีกต่อไป
6. ธุรกิจของคุณมีช่องทางการติดต่อกับลูกค้าที่หลากหลาย
ถ้าอีเมล, โทรศัพท์, live Chat, Messenger ใน Facebook, Line Official Account หรือ Direct Message ใน Instagram คือช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าของคุณทั้งหมด ระบบ CRM คือสิ่งจำเป็นที่คุณต้องรีบมี
เพราะปัญหาของการมีช่องทางการติดต่อกับลูกค้าที่หลากหลายคือ อาจทำให้ยากต่อการติดตามว่าลูกค้าคนไหนพูดอะไร? เมื่อไหร่? และที่ช่องทางไหน? และเมื่อจำนวนลูกค้าที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจจะทำให้พนักงานขายทำข้อมูลลูกค้าจากช่องทางต่าง ๆ ตกหล่น
ระบบ R-CRM ของ Readyplanet มีฟีเจอร์รองรับการเชื่อมต่อบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อส่งรายชื่อลูกค้าและข้อมูลที่กรอกไว้เข้ามาในระบบ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทีมขายในการติดต่อกลับไปยัง Lead เพื่อเสนอขายและให้ข้อมูลสินค้า เช่น
- WEBSITE INTERGRATION รองรับการเชื่อมต่อกับแบบฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อส่งรายชื่อลูกค้าและข้อมูลที่กรอกไว้เข้ามายัง R-CRM
- DIGITAL ADS INTERGRATION รองรับการทำ Lead Generation บน Facebook เพื่อส่งรายชื่อลูกค้า และข้อมูลที่กรอกไว้เข้ามายัง R-CRM
เมื่อช่วงเวลาที่ทุกองค์กรเริ่มมีการเติบโตมากขึ้น ย่อมมีปัญหาที่เกิดจากการทำงานมากขึ้นเช่นกัน และสิ่งเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างชาญฉลาด คุณอาจจะอยากขยายการเจริญเติบโตของธุรกิจ การมีข้อมูลเกี่ยวกับทีมงานหรือพนักงานขาย ข้อมูลที่มาของช่องทางการขายต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลที่มีทั้งข้อดีข้อเสียสินค้าและบริการ หรือแม้กระทั่งข้อมูลที่สำคัญและมีมูลค่ามากที่สุดก็คือ ข้อมูลลูกค้าของคุณ ข้อมูลเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในการนำไปวิเคราะห์และพัฒนา ผลักดันให้ธุรกิจของขึ้นเจริญก้าวหน้ามากขึ้นได้ทั้งสิ้น
และแม้ว่าเครื่องมือ CRM จะถูกสร้างมาเพื่อจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าตามชื่อเต็มและความหมายโดยตรงของมัน (Customer Relationship Management) แต่ความจริงแล้ว ระบบ R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย นั้นสามารถเป็นได้มากกว่าระบบบริหารจัดการข้อมูลและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพราะ R-CRM ยังช่วยให้คุณบริหารทีมขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติของการขายได้หลากหลายมิติ ทั้งในมุมของสินค้า ลูกค้าและพนักงานขายของคุณเองได้อีกด้วย กล่าวมาถึงตรงนี้ คุณพร้อมที่จะพาธุรกิจของคุณก้าวกระโดดไปพร้อมกับเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณอย่าง R-CRM ของ Readyplanet แล้วหรือยัง?
R-CRM หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ Readyplanet Marketing Platform
R-CRM คือแพลตฟอร์มบริหารจัดการทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ช่วยให้ผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายขาย สามารถติดตามการทำงานของพนักงานขายได้อย่างเป็นระบบ พร้อมรายงานสถิติสำคัญที่จะช่วยให้วางแผนเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์องค์กรที่มีสินค้าหรือบริการแบบ High Involvement
ลงทะเบียนและเริ่มใช้ R-CRM ฟรี
Updated: 16 March 2021 | Produced by: Dujnapa Chauthamcharoen