5 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ Digital Marketing
Digital Marketing หลายคนยังเกิดความเข้าใจผิด ๆ อยู่บ้าง บางแบรนด์หรือบางองค์กร มองว่า Digital Marketing คือการทำการตลาดบน Social Media Platform ฮิต ๆ อย่าง Facebook Instragram เท่านั้น ทำให้มุ่งเน้นทำการตลาด แค่บน Facebook ซึ่งการที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้อาจจะทำให้แบรนด์ของคุณพลาดโอกาสเติบโตทางการตลาดในยุค Digital ก็เป็นได้
วันนี้ Readyplanet ขอยก 5 ความเชื่อแบบผิด ๆ เกี่ยวกับ Digital Marketing ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้น จะมีอะไรบ้างมาติดตามกันได้เลย
1. การทำ Digital Marketing ต้องใช้เงินจำนวนมาก
Digital Marketing คือการทำการตลาดผ่านอินเตอร์เน็ต โดยสร้างการรับรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งหมด ผ่าน Social Media Platform หรือ Google หลายแบรนด์ก็ยังคิดว่าการที่เว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊คของแบรนด์จะติดอันดับ Top 3 ใน Search Engine อย่าง Google นั้นต้องทุ่มเงินมากพอสมควร แท้จริงแล้วในรายละเอียดลึกลงไปกว่านั้น คือ มีระบบที่เรียกว่า SEO (Search Engines Optimization) ตัวช่วยที่จะทำให้เว็บของคุณขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ
แล้ว Search Engine Optimization คืออะไร ? หรือที่รู้จักกันสั้น ๆ ว่า SEO เป็นกลยุทธ์การค้นหาแบบทั่วไป (Organic Search) ใช้สร้างความหน้าเชื่อถือ และจัดการให้หน้าเว็บขึ้นอยู่อันดับต้น ๆ เพียงแต่ต้องศึกษาเรื่อง Keyword ที่จะนำมาใส่บนเว็บไซต์ให้ถูกต้องและตรงกับเป้าหมายที่เมื่อเวลากลุ่มลูกค้าค้นหา Keyword นั้น ๆ ก็จะพบเว็บไซต์ของคุณติดอันดับของ Google ได้ ซึ่ง SEO ตัวนี้สามารถทำได้ฟรีและไม่มีค่าใช้จ่าย คุณสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วธุรกิจควรเลือกแบบไหน ? ได้โดย คลิกที่นี่
2. การทำโฆษณา เป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟื่อย
ข้อนี้ผู้ประกอบการหลายคนมองว่าการทำโฆษณาในแต่ละครั้งเหมือนเป็นการใช้เงินอย่างไม่ตรงจุดหรือเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่แท้จริงแล้วการทำโฆษณาที่ตรงกลุ่ม Custom Audience มีประสิทธิภาพมากกว่าการโยนหินถามทาง หรือการสุ่มหากลุ่มลูกค้านั่นเอง ก่อนจะลงทุนกับการทำโฆษณานั้นควรมีการวาง Strategy เพื่อหา Customer Journey และ Insights ที่แท้จริงว่าลูกค้าเป้าหมายของเราคือใคร ที่ไหน จะได้ไม่เป็นการหว่านหาลูกค้า
การทำโฆษณานั้นจึงมีข้อดีที่ว่าผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภคได้รวดเร็วและใกล้ชิดมากที่สุด และกระจายข่าวสารเร็วและเป็นวงกว้าง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะเลือกสนองความต้องการผ่านระบบออนไลน์ ที่สำคัญการทำโฆษณานั้น คุณสามารถเลือกใช้ภาพสวย ๆ ภาษาดี หรือโปรโมชั่นต่าง ๆ ก็สามารถกระตุ้นการตัดใจสินได้มากเช่นกัน
ซึ่งเราจะเก็บข้อมูล Insights ลูกค้าง่าย ๆ ได้อย่างไร เรามีหนึ่งเครื่องมือที่อยากแนะนำ คือ ฟังก์ชั่นระบบ R-Insights ของ Readyplanet ตัวนี้ไม่เพียงแต่เก็บ Insights เท่านั้นยังช่วยให้การทำงานเป็นระบบระเบียบ ไม่ว่าจะปีหน้าหรืออีก 5 ปี ข้างหน้าก็สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าสามารถดูย้อนหลังได้ ไม่ต้องเหนื่อยเสียเวลาทำ Report ที่มีข้อมูลครอบจักรวาลแล้วค่อยมาแบ่งหมวกหมู่ทำ Report ส่งในช่วงทุก ๆ สิ้นเดือน คุณสามารถอ่านรีวิวเกี่ยวกับเครื่องมือ R-Insights เพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่
3. Social Media ดีกว่า Website
Social Media คือ สื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Twitter หรือ Instragram เป็นการอัปเดตแบบ Real Time
Website คือ สิ่งที่ไม่ได้ใช้ติดต่อสื่อสารกัน เป็นเพียงการลงข้อมูล รูปภาพ มากสุดโต้ตอบแต่ผู้ซื้อผู้ขายเท่านั้น แต่ปัจจุบันเว็บไซต์ได้เพิ่มฟังก์ชั่น เช่น ปุ่ม Call to action หรือ การลิงก์ไปยันหน้า Facebook Page ทำให้ง่ายต่อการติดต่อสื่อสาร การอัปเดตเว็บไซต์สม่ำเสมอก็ทำให้ดึงดูดลูกค้าได้ดี
เราจะเริ่มต้นอย่างไรให้เว็บไซต์โดดเด่นบนออนไลน์
1. ตัวตนต้องชัดเจน เช่น โลโก้แบรนด์ Mood&Tone ของแบรนด์ Keymessage ที่สื่อถึงแบรนด์
2. การรู้จักรู้ใจลูกค้า หากลุ่มลูกค้าที่ใช้ หา Painpoint ของลูกค้า ที่ตัวผลิตภัณฑ์จะเข้าไปมัดใจได้
3. รูปแบบการนำเสนอ ข้อนี้ต้องใช้ความสร้างสรรค์ในการป้อน Content ใหม่ ๆ บอกในสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ มากกว่าการบอกส่วนผสมและแหล่งผลิต
4. การเลือกช่องทางโปรโมท Platform ต่าง ๆ หมั่นตามเทรนด์ เช่น ช่วงนี้ TikTok กำลังฮิต เราควรมี Account สักหน่อยไหม ส่วนเว็บไซต์จะสร้างจุดเด่นอะไรได้บ้าง
ถ้าอยากรู้ความแตกต่างอย่างละเอียดสามารถอ่านบทความไขข้อข้องใจใช้โซเชียลมีเดียกว่าเว็บไซต์จริงหรอ ? ได้โดย คลิกที่นี่ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีบทสรุปไหนออกมาบอกว่า Social Media ดีกว่า Website เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นใช้ควบคู่กันถึงจะดีที่สุด และแบรนด์ควรสร้างประสบการณ์พิเศษให้แก่ลูกค้า
4. จะทำ Digital Marketing ต้องใช้บุคลากรในองค์กรเท่านั้น
การทำ Digital Marketing ก็เป็นอีกหนึ่งในงานสำคัญที่ไม่ว่าใครที่ไหนจะทำก็ได้ และไม่จำเป็นที่จะต้องใช้แค่บุคลากรในองค์กรณ์เท่านั้น เพราะในแต่ละองค์กรอาจจะมีบุคลากรที่ถนัดในบางศาสตร์และไม่ถนัดในบางศาสตร์
การสร้างทีมเพื่อทำ Digital Marketing หลัก ๆ แล้วมีประมาณ 5 ตำแหน่งเบื้องต้น
- Strategic Planner คิดวิเคราะห์ กลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อให้ฝ่าย Crative ไปตีโจทย์ให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค และคอยดูแลภาพรวมทั้งหมด
- Content Creator/Creative คิด สร้างสรรค์ สื่อให้เข้ากับบรีฟหรือแนวทางที่ Strategic Planner วางไว้
- Graphic Designer ออกแบบภาพให้เข้ากับช่องทางสื่อ
- Admin Social Media ดูแลช่องทาง Social Media สร้างปฎิสัมพันธ์กับลูกค้าบน Platform ออนไลน์
- Ads Manager ดูแลภาพรวมของการรัน Ads บนออนไลน์
บางธุรกิจไม่ได้มีทีมใหญ่หรือผู้ชำนาญที่จะดูแลในเรื่องนี้ได้อาจจะต้องใช้งบบานปลาย จนเกินความจำเป็นแทนที่จะเอางบในส่วนนี้ไปสร้างโฆษณาที่ดี ดึงดูดลูกค้าให้เกิดความประทับใจในแบรนด์ ในจุดนี้ควรให้ผู้ที่เชี่ยวชาญได้เป็นผู้ดูแลให้ หรือที่เรียกกันว่า จ้าง Outsource ดูแล อย่าง Readyplanet ของเราก็มีบริการให้แก่ธุรกิจของคุณ หากคุณกำลังต้องการแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์, ทำโฆษณาออนไลน์ Google, Facebook หรือแม้กระทั่งระบบบริหารทีมขายก็ตาม สามารถปรึกษา Readyplanet ผุ้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านการขายและการตลาดแบบ All-in-One ได้
5. Digital Marketing วัดผลไม่ได้
ยังคงมีผู้ประกอบอีกมากที่คิดว่า การตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing วัดผลได้ยากหรือแทบจะไม่ได้เลย ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่าผู้ประกอบการเทียบการตลาดออนไลน์กับการตลาดออฟไลฟ์ประเภทไหน ถ้าหากเทียบกับโฆษณาจากการเดินขบวน หรือ Radio คะแนน Digital Marketing ก็อาจจะกินขาด เพราะดัชนีในการวัดผลหลัก ๆ Digital Marketing สามารถวัดผลการเข้าถึงจำนวนผู้เห็นและปฎิสัมพันธ์ต่อโฆษณา (Reach & Engagement) และยังมีเครื่องมือทาง Digital อีกมากที่วัดผลได้อีกมาก
5 เครื่องมือวัดผลการทำ Digital Marketing เบื้องต้น
1. Google Analytics เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google สามารเก็บ Insights ผู้เข้าชมเว็บไซต์ และสามารถเอามาคำนวนต้นทุนค่าโฆษณาต่อ 1 คลิกได้ด้วย และ Google ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ให้ใช้ได้ฟรีอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถผ่านเพิ่มเตมได้โดย คลิกที่นี่
2. Reach & Engagement ตัวนี้เป็นเครื่องมือวัดผลบน Platform Social Media ที่จะบอกการเข้าถึงและมีการตอบโต้บน Content นั้น ๆ
3. Page view per visit บอกจำนวนการเข้าชมหน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์
4. Conversion เช่น การลงทะเบียนติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ รวมถึงยอดการสั่งซื้อ
5. Click Through Rate ยอดผู้เข้าชมที่คลิกสนใจโฆษณาบนเว็บไซต์ ข้อมูลจากส่วนนี้สามารถต่อยอดการทำโฆษณาได้อีกด้วย
รวมถึงระบบ R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ของ Readyplanet ที่ครบครันด้วยเครื่องมือสำคัญที่ทีมขายต้องใช้ทำงานเป็นประจำในทุก ๆ วัน
ตอนนี้แล้วคุณสามารถเปลี่ยนความคิดและความเชื่อผิด ๆ ของเหล่าผู้ประกอบการ ให้มองเรื่อง Digital Marketing ง่ายขึ้นเห็นผลดีขึ้นและจะดียิ่งกว่าถ้าทำการตลาดควบคู่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งนี้ก็อยู่ที่กลุ่มลูกค้าของแต่ละแบรนด์ว่ามีพฤติกรรมการบริโภคโฆษณาแบบไหน ยิ่งเราเก็บเกี่ยว Insights ลูกค้าได้มากเท่าไร ส่วนแบ่งทางการตลาดของเราก็จะยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น
และถ้าจะให้ดีและมีมิติในการทำ Digital Marketing ถ้า เรามี One Stop Service อยู่ใน Platform เดียวอย่างที่ Readyplanet Marketing Platform มี ด้วยเครื่องมือที่จะตอบโจทย์ความสะดวกให้กับธุรกิจของคุณ มาควบคู่กับบริการที่เหมาะสมกับรูปแบบ Digital Marketing ที่คุณวางไว้ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า
Readyplanet Marketing Platform
แพลตฟอร์มการขายและการตลาดแบบ All-in-One ที่ครอบคลุมทั้งการโฆษณา เว็บไซต์ และระบบลูกค้าสัมพันธ์
ลงทะเบียนและเริ่มใช้ฟรี
Updated: 12 January 2021 | Produced by: Dujnapa Chauthamcharoen