ทำไม User Experience (UX) สำคัญต่อการทำ SEO

UX คืออะไร ?

UX ย่อมากจาก User Experience หรือ “ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน” ที่คนคนนั้นมีต่อบริการหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม และจึงเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทำให้ผู้ใช้มีการตอบสนองบางอย่างต่อการใช้งาน เช่น รู้สึกประทับใจ, สนุกสนาน, หงุดหงิดรำคาญใจ หลังจากใช้งาน เป็นต้น ซึ่งเรามักพบ UX คู่กันกับ UI เสมอ แต่แตกต่างกันตรงที่ UI หรือ User Interface คือการออกแบบ ที่ต้องดีไซน์หรือจัดวางเพื่อให้มีความสวยงาม การเชิญชวนให้คนมา Interact หรือกระทำบางสิ่งบางอย่างบนแพลตฟอร์มนั้นโดยจะเน้นการออกแบบที่คำถึงนึงผู้ใช้งานเสมอ อธิบายให้ง่ายขึ้น คือ คุณต้องการสั่งซื้อสินค้าผักและผลไม้ผ่านเว็บไซต์ เว็บไซต์เป็นตัวกลางซึ่งคือ UI และเมื่อคุณใช้งานแล้วพบว่าใช้ง่ายไม่ซับซ้อน สามารถกดเพิ่มสินค้าแล้วชำระค่าสินค้าได้ทันที เกิดความรู้สึกประทับใจ ในส่วนนี้เรียกว่า UX นั่นเอง ซึ่งจุดประสงค์ที่ต้องการให้ผู้ใช้งานเกิดประสบการณ์ที่ดีนั่นเพราะต้องการให้คนเหล่านี้กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์,แอปพลิเคชัน หรือผลิตภัณฑ์นั้นอีกครั้งนั่นเอง 

UX หรือ User Experience ส่งผลต่อ SEO อย่างไร ?

Google มีแนวโน้มที่จะจัดอันดับไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาของผู้ใช้งาน โดยจัดเรียงอันดับหน้าเว็บยอดนิยมที่มีแนวโน้มว่าผู้ใช้ต้องการเห็นมากที่สุด เนื่องจากจุดประสงค์หลักคือการสร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้งาน ดังนั้นการสร้างเว็บไซต์ให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายเป็นหนึ่งในวิธีพื้นฐานที่ช่วยเพิ่ม Traffic ของเว็บไซต์ธุรกิจจนได้รับความนิยมในการค้นหา ก่อนอื่นลองมาอธิบายความหมายของคำเหล่านี้กันก่อน

1. เมื่อพูดว่า “ปัจจัยการจัดอันดับ” หรือ Ranking Factor นั้นหมายถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ 

2. เมื่อพูดถึง “ประสบการณ์ผู้ใช้” หรือ User Experience ในบริบทของเว็บไซต์ คือตัวกำหนดว่าเว็บไซต์มอบประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้หรือไม่ โดยคำนึงถึงปัจจัยหลัก ๆ เช่น ให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ผู้ใช้ที่ค้นหาเว็บ, ความรวดเร็วทันใจในการโหลดหน้าเพจ หรือรูปแบบ Website Responsive ที่ใช้งานง่ายบนอุปกรณ์ทุกชนิด 

ดังนั้น UX มีความสำคัญต่อ SEO ไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งสำคัญต่อมาคือจะทำอย่างไรที่จะจะนำเสนอประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมกับผู้ใช้งานโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ SEO ของคุณ

วัดมาตราฐานหน้าเว็บไซต์ ด้วย Google's Core Web Vitals

Core Web Vitals คือ มาตรฐานการของประสิทธิภาพเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ (User Experience) ที่มีต่อหน้าเว็บไซต์ เปรียบให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ การให้คะแนน UX สำหรับเว็บไซต์นั่นเอง

1. Largest Contentful Paint (LCP)

ปัจจัยแรกคือการโหลด ความเร็วในการโหลดชุดข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บของคุณ จะต้องไม่เกิน 2.5 วินาที (ไม่นับรวมการโหลดข้อมูลของทั้งเว็บไซต์) *อ้างอิงข้อมูลจาก Blog.chromium.org ยกตัวอย่างเช่น การโหลด LCP จะมีชุดข้อมูลต่างกันแต่ละส่วน หน้าเว็บของคุณอาจมีส่วนเนื้อหา และส่วนรูปภาพหรือวิดิโอที่เป็นชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุด ในส่วนนี้เราจะเรียกว่า LCP ไฟล์รูปภาพขนาดใหญ่หรือไฟล์ที่ละเอียดเกินความจำเป็น รวมถึง video หรือ Server ที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจส่งผลให้เว็บไซต์โหลดช้ากว่าที่ควร

 2. First Input Delay (FID)

ปัจจัยที่สองคือ ระยะเวลาดีเลย์ของการเกิด Interactive (การมีส่วนร่วมหรือโต้ตอบ) ระหว่างเว็บไซต์และผู้ใช้งาน เช่น ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลในช่องลงทะเบียน, หน้าค้นหา เป็นต้น การตอบสนองดังกล่าวควรใช้เวลาไม่เกิน 0.1 วินาที ดังนั้นสิ่งที่ Google บอกว่าจะทำให้การตอบสนองช้าคือ หากเว็บไซต์มี Script (Code คำสั่งที่ทำงานในแบบ Text File) เยอะเกินความจำเป็น การประมวลผลของบราวเซอร์จะช้าลงจนทำให้ไม่สามารถตอบสนองได้ทันทีนั่นเอง 

3. Cumulative Layout Shift (CLS)

ปัจจัยต่อมาคือความไม่เสถียรของ Layout หรือ Content บนหน้าเพจ ที่อาจเกิดจากการแสดงผลที่ผิดปกติ เช่น Layout เบี้ยว หรือฟ้อนต์มีขนาดเล็ก-ใหญ่เกินไปจนทำให้อ่านยาก รวมถึงประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ที่ไม่น่าประทับใจ เช่น ต้องการคลิก ในเนื้อหา แต่มี Pop Up โฆษณาขึ้นคั่นและทำให้คลิกผิดไปยังหน้าไซต์อื่นที่ไม่ต้องการ ผู้ใช้งานย่อมไม่อยากเข้าใช้หน้าเว็บนี้และกดออกไปในท้ายที่สุด การแก้ไขปัญหาในส่วนนี้อาจปรับขนาดดีไซน์ให้พอดี จัดวางฟ้อนต์หรือปุ่มให้อ่านง่าย รวมถึงพื้นที่โฆษณาบนหน้าเว็บให้มีขนาดพอดี Banner หรือปุ่มต่าง ๆ ไม่รบกวนการอ่านเนื้อหน้านั้น ผู้เยี่ยมชมก็เกิดความประทับใจและอยากแชร์ต่อเว็บไซต์แล้ว

เครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวัดผล Core Web Vitals 

Chrome User Experience Report ได้เลือกข้อมูลเครื่องมือของ Core Web Vitals เพื่อช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ประเมินประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องให้วิเคราะห์เครื่องมือบนหน้าเว็บด้วยตนเอง และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องมือต่าง ๆ เช่น PageSpeed ​​Insights และ Google Search Console

สร้างกลยุทธ์การทำ UX เพื่อ SEO ที่มีคุณภาพ

1. ทำโครงสร้างของเว็บไซต์สำหรับ SEO และ UX

การออกแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ (Site Structure) ถือเป็นการจัดความสำคัญอันดับแรกในการมีเว็บไซต์ธุรกิจเลยทีเดียว ดังนั้นควรคำถึงโครงสร้างเว็บไซต์ว่ามีเมนูใดบ้าง หรือที่เรียกว่า Navigation Menu ซึ่งคือเมนูที่ช่วยพาผู้เยี่ยมชมไปยังหน้าเพจต่าง ๆ บนเว็บไซต์ และสามารถกลับมายังหน้าหลักของเว็บได้อีกด้วย จึงจะมีการใส่ Backlink เพื่อเชื่อมต่อไปยังหน้าต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา โดยมีเทคนิคดังนี้ 

• ใช้ชื่อเมนูเข้าใจง่าย แถบปุ่มเมนูหลักที่เข้าใจง่ายได้ทันทีช่วยให้ Google เข้าใจได้เช่นกัน หากต้องการปรับแต่งคำให้น่าสนใจและสร้างความเป็นเอกลักษณ์ สามารถใช้กับเนื้อหา Content หรือที่ดีไซน์ของเว็บได้ 

ทำความเข้าใจ Customer Jouney เช่น หากคนที่เข้าชนหน้าเว็บของคุณมาจากเนื้อหาที่ติดอับดับ Organic Search บนหน้า Google อย่าลืมนึกถึงว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร และหลังจากอ่านเนื้อหานั้นแล้วจะคลิกที่เมนูใด และวางปุ่มอื่น ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนดูสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่อโดยยังไม่คลิกออกจากหน้าเว็บ

2. ปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้รวดเร็ว

การปรับแต่งเนื้อหา การจัดวางดีไซน์ของเว็บไซต์ รวมถึงสปีดในการโหลดหน้าเว็บช่วยสร้าง UX ที่ดีกับผู้ใช้งานได้เสมอ เช่น 

• จัดวางเนื้อหาให้ชัดเจนและอ่านง่าย แบ่ง Paragraph ไม่ให้ดูติดกันจนมากเกินไป หรือภาพสินค้าเห็นชัดเจนและบอกข้อมูลที่กลุ่มเป้าหมายของคุณต้องการได้ครบถ้วน

• การตรวจวัดคุณภาพการโหลดหรือสปีดของเว็บไซต์ ช่วยให้มีประสบการณ์ที่ดี สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ โดยใช้เครื่องมือ PageSpeed ​​Insights จากนั้นใส่ Link เว็บไซต์ของคุณและดูค่าที่ได้มาเพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น ตัวอย่างในภาพด้านล่าง 

• ให้ความสำคัญกับรูปแบบ Responsive Website จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเองที่มักใช้งานผ่าน Moblie เพิ่มมากขึ้น อย่าลืมปรับการแสดงผลหน้าเว็บของคุณให้ได้คุณภาพผ่านทุกอุปกรณ์ เช่นการเลือกใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปที่รองรับการแสดงผลได้

3. แบ่งความสำคัญระหว่าง SEO และ UX 

แม้ว่า UX จะส่งผลที่ดีในการจัดอันดับบนหน้า Search Engine และ Keywords ที่ใช่จะช่วยในเรื่องของ SEO รวมถึงการเพิ่ม Organic Traffic ให้กับหน้าเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ แต่อย่าลืมคำนึงถึงคุณภาพเนื้อหาบนเว็บไซต์ การใส่ Backlink ที่นำผู้เยี่ยมชมไปยังหน้าเพจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องไม่เป็นลิงก์คลิกที่หลอกล่อให้ไปหน้าอื่น ๆ ที่ยัดเยียดบางอย่างจนเกินไป Keywords ที่ใส่ในเนื้อหาบนหน้าเว็บที่ได้คุณภาพ อ่านแล้วมีคุณค่าและให้ประโยชน์กับผู้เยี่ยมชมที่แท้จริงต่างหากที่เป็นหัวใจหลักในการสร้าง User Experience นำไปสู่การแบ่งปันเว็บไซต์และสร้าง Long Term กับลูกค้าในอนาคตของคุณ 

ด่านแรกในการช่วยให้ User เกิด UX ที่ดีนั้นต้องมาจากการเลือก Keywords ที่เกี่ยวข้องและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน "จากงานวิจัยพบว่า 71.33% ของการ Search ทำการคลิกผ่าน Organic Results ในหน้าแรก ในขณะที่โฆษณาได้รับการคลิกเพียง 15% ของผู้ทำการค้นหา ดังนั้นการทำ SEO ให้คีย์เวิร์ดสำคัญ ๆ ของธุรกิจติดอันดับที่ดี จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดการแข่งขันและสร้างความได้เปรียบให้ธุรกิจของคุณเหนือกว่าคู่แข่งได้เป็นอย่างดี"

เริ่มต้นสร้างความสำเร็จและความได้เปรียบเหนือคู่แข่งแบบยั่งยืนด้วยบริการ SEO จาก Readyplanet ที่เน้น Performance Based และ ROI (Return on Investment) Focused โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่มากด้วยประสบการณ์ พร้อมคำแนะนำและตัวอย่างรายงานที่จะช่วยให้คุณพัฒนาผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น คลิกเพื่อสมัครได้เลยที่นี่

สรุปแล้วการทำ SEO ที่ดีนอกจากจะต้องรีเสิร์ช Keywords ที่ใช้ การวิเคราะห์คู่แข่งจากที่เคยทำแล้ว กาหันมาให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผู้ใช้งาน หรือ User Experience เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพเว็บของคุณให้ดีขึ้น ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า หากเป็นคุณเองเข้าหน้าเว็บนั้น พบเนื้อหา Content ที่ให้คุณค่า การคลิกไปยังหน้าเพจอื่น ๆ ใช้เวลาโหลดไม่นาน แสดงผลได้อย่างรวดเร็ว ไม่สะดุดในการใช้งาน ย่อมใช้เวลาบนหน้าเว็บไซต์ได้นานขึ้น เกิด UX ที่ดี และส่งผลกับ Ranking ในการจัดอันดับของอัลกอริทึ่มจาก Google อีกด้วย การวัดประสิทธิภาพได้จึงนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจของคุณให้ดีได้เช่นกัน 

สำหรับผู้ที่สนใจบริการ SEO วิถีใหม่ ยกระดับคุณภาพเว็บไซต์ในภาพรวม

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่

Updated: 22 June 2021 | Produced by: Ploynaphat Wattanachodjirachai