จัดการงานขายให้เป็นเรื่องง่าย ด้วยการ สร้าง Sales Pipeline ที่ยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจ
สงสัยไหมว่า ตอนนี้ธุรกิจเราขายสินค้าไปได้ดีและมีประสิทธิภาพอย่างไร มีลูกค้าใหม่เข้ามาเยอะหรือน้อยกว่าเดือนที่แล้วกี่เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าส่วนใหญ่ตกอยู่ในขั้นตอนการขายไหนมากที่สุด อัตราการปิดการขายเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อไหร่ที่เราควรจะเข้าไปกระตุ้นการขายให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง ข้อมูลเหล่านี้คุณจะรู้ได้อย่างง่ายดาย และจัดการเรื่องการขายที่ดูยุ่งยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายทัน ถ้าเรามีระบบการขาย หรือ Sales Pipeline Management ที่ดี
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- Sales Pipeline Management คืออะไร?
- Sales Pipeline ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้อย่างไร?
- การสร้าง Sales Pipeline ที่ยืดหยุ่นเหมาะสมกับธุรกิจในปัจจุบันอย่างไร?
- ข้อดีของการสร้าง Sales Pipeline ได้เองด้วย R-CRM
- สรุป
Sales Pipeline Management คืออะไร?
ก่อนอื่นอยากจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Sales Pipeline Management คือ ระบบที่ใช้ในการจัดการ วางแผน หรือบริการกระบวนการขาย รวมถึงผู้ที่มีหน้าที่ดูแลการขายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่ง Sales Pipeline Management จะแบ่งออกเป็นขั้นตอนหรือสเตจ ที่สอดคล้องกับการตลาดหรือแผนทางธุรกิจ โดยมีขั้นตอนตั้งแต่การหาลูกค้า การเก็บข้อมูลลูกค้าเก่า ใหม่ การนำเสนอสินค้าหรือโปรโมชั้น การกระตุ้นการขายซ้ำ และปิดการขาย ซึ่ง Sales Pipeline Management จะช่วยวางแผนขั้นตอนต่างๆ รวมถึงสามารถระบุได้ว่า ลูกค้าแต่ละคนอยู่ในขั้นตอนไหน ใครเป็นผู้รับผิดชอบ รวมถึงสามารถดูรายงานสรุปผลของแต่ละ Sales Pipeline ได้ด้วย
Sales Pipeline ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้อย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้ว Sales Pipeline ช่วยเพิ่มโอกาสการขายได้อย่างไร ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญ ซึ่งจริงๆ แล้ว Sales Pipeline นั้นมีประโยชน์ต่อการขายรวมถึงการสร้างกำไรได้มากกว่าที่คิด ช่วยให้ธุรกิจจัดการระบบระเบียบลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวิเคราะห์ภาพรวมการขาย รวมถึงข้อมูลสำคัญที่สามารถพัฒนาและสร้างกำไรในอนาคตได้ และที่สำคัญเป็นสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ไม่ว่าลูกค้าเราจะอยู่ในขั้นตอนไหน ก็สามารถเข้าไปดูแล หรือหากลยุทธ์ที่เหมาะสม ที่สามารถเปลี่ยนคนแปลกหน้า ให้กลายมาเป็นลูกค้าตัวจริงได้
การสร้าง Sales Pipeline ที่ยืดหยุ่นเหมาะสมกับธุรกิจในปัจจุบันอย่างไร?
ในปัจจุบัน Journey Customer ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ได้เป็นเส้นตรงเหมือนกับอดีตที่ผ่านมา แต่กลายเป็นว่า บางสเตจก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เช่น ลูกค้าบางคนอาจจะกำลังมองหาสินค้าควบคู่ไปกับการพิจารณาว่า สินค้าตัวนี้ดีจริงไหม และดีกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ อย่างไร (Awareness and Consideration) หรือบางคนเจอสินค้าโดยบังเอิญก็ตัดสินใจซื้อทันที ถ้าสินค้านั้นตอบโจทย์ของเขา เช่น ยาแก้ปวดหัว ลูกค้าอาจจะไม่ได้พิจารณาหรือเปรียบเทียบมาก แต่ต้องการยาแก้ปวดหัวทันทีในตอนที่ป่วย เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยในตอนนั้นให้ได้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า สเตจการขายนั้นมีหลากหลาย และไม่ได้เป็นแบบแผนเสมอไป การปรับเปลี่ยนหรือจัดการ Sales Pipeline ได้อย่างยืดหยุ่นนั้นจะช่วยให้เราปรับตัวได้ทันตามความต้องการของลูกค้า และสร้างยอดขายได้มากขึ้น ถ้าหากอยากปรับตัวให้ทันกับตลาด ความต้องการของลูกค้า การสร้าง Sales Pipeline เป็นสิ่งแรกๆ ที่ธุรกิจคุณควรทำในตอนนี้
ข้อดีของการสร้าง Sales Pipeline ได้เองด้วย R-CRM
เมื่อพูดถึงเรื่อง Sales Pipeline หรือการจัดการข้อมูลลูกค้า มักจะตามมาด้วยความรู้สึกยุ่งยาก ปวดหัว ทำให้บางธุรกิจเลือกที่จะจ้างบริษัทข้างนอกที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง หรือที่เรียกกันติดปากว่า Outsource เข้ามาจัดการเรื่องเหล่านี้ แต่จะดีกว่าแน่นอน หากคุณสามารถสร้างและจัดการ Sales Pipeline ต่างๆของธุรกิจได้เอง ซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้อย่างมากมาย สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองตามต้องการไม่ต้องเสียงบประมาณไปจ้างบริษัทข้างนอกมาดูแล ทั้งๆที่มีแนวทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งปัญหาที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ กลับสามารถทำได้อย่างง่ายดาย ผ่าน R-CRM วันนี้เราจะมาแนะนำถึงข้อดีของการสร้าง Sales Pipeline ได้เอง ว่าจะมีประโยชน์กับธุรกิจเราอย่างไรบ้าง
1. ออกแบบขั้นตอนบริหาร Lead ให้เหมาะสมกับการทำงานจริงของธุรกิจได้
Sales Pipeline ไม่ได้มีสูตรสำเร็จเสมอไป ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและกระบวนการทำงานของแต่ละธุรกิจ ดังนั้น Sales Pipeline ของธุรกิจเขาอาจไม่เข้ากับธุรกิจของเราก็ได้ อีกทั้ง Sales Pipeline ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามสเตจเสมอไปด้วย ดังนั้น จุดเริ่มต้นของการทำ Sales Pipeline ที่ดีคือ เราต้องทำความเข้าใจธุรกิจของเราให้ถ่องแท้ก่อนว่ากระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้น ระหว่างทางและจบเป็นอน่างไรบ้าง ซับซ้อนมากน้อยแค่ไหน รวมถึงเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าของเราด้วย ว่าใช้ระยะเวลาในการพิจารณาหรือตัดสินใจซื้อแต่ละอย่างประมาณกี่วัน เป็นต้น
อย่างเช่น ถ้าเป็นธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงาม เช่น เครื่องสำอาง หรือสกินแคร์ Sales Pipeline อาจเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ติดต่อลูกค้าที่สนใจสินค้า 2. นำเสนอสินค้าหรือโปรโมชั่นครั้งที่ 1 3.นำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นครั้งที่ 2 และ 4.ปิดการขาย แต่ถ้าเป็นธุรกิจขายเครื่องมือเทคโนโลยี ขั้นตอนของ Sales Pipeline อาจเป็นแบบนี้ได้ 1.ติดต่อลูกค้าที่สนใจสินค้า 2.นำเสนอสินค้าหรือโปรโมชั่น 3.นำเสนอเพื่อทดลองใช้ระบบหรือ Demo 4.เจรจาต่อรอง และ 5.ปิดการขาย เป็นต้น ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่างของการตั้งชื่อขั้นตอนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานจริงของธุรกิจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายหลายธุรกิจที่นำ Sales Pipeline เข้าไปช่วยจัดการขั้นตอนการขายต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
นอกจากนี้ ในธุรกิจของเราเองนั้น เมื่อมีการทำงานจริงแล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องเรียงไปตามสเตจหรือขั้นตอน Sales Pipeline ที่เราตั้งไว้เสมอไปก็เป็นได้ เช่น ลูกค้าบางคนเมื่อเห็นโปรโมชั่นครั้งแรกแล้ว ก็อาจตัดสินใจซื้อเลย เข้าสู่การปิดการขายได้ทันที จะเห็นได้ว่าเราสามารถข้ามขั้นตอนการนำเสนอสินค้าโปรโมชั่นครั้งที่ 2 ไปได้ โดยกดถัดไป ผ่านระบบ R-CRM ได้เลย หรือกับลูกค้าบางกลุ่มที่มีอัตราการปิดการขายสูง เราอาจจะแยกกลุ่มลูกค้านี้ออกมา แล้วสร้าง Sales Pipeline อีกแบบ ที่ไม่ต้องมีขั้นตอนการต่อรองหลายครั้ง แต่เป็นการกระตุ้นการขายให้ตรงกับความต้องการลูกค้ามากขึ้น และข้ามไปปิดการขายได้ทันที ก็จะช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น ดูข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย
2. เพิ่ม,แก้ไข และแยก Sales Pipeline สำหรับทีมต่างๆ ได้ง่าย ไม่ซ้ำซ้อน
นักขายหรือเซลล์น่าจะเคยพบว่า ขั้นตอนการขายบางคนตอนก็ต้องอาศัยการทำงานของทีมอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นทีมเทคนิค หรือทีมซัพพอร์ต ที่เข้ามาช่วยเหลือให้การขายเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น แล้วถ้าหากเราเจอสถานการณ์ที่ต้องส่งต่องานให้ทีมอื่นๆ ต้องเข้ามาดูแลร่วมด้วย จะจัดการกับ Sales Pipeline อย่างไร?
R-CRM สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายและสะดวกมาก แค่เข้าไปที่หน้าตั้งค่า เลือก “จัดการ Lead Pipeline” ก็สามารถแก้ไข Sales Pipeline เดิม ให้สอดคล้องกับการทำงานมากขึ้น ทั้งสามารถเพิ่มขั้นตอนของ Sales Pipeline หรือย้ายสลับขั้นตอนได้ รวมถึงยังสามารถย้าย Lead ที่อยู่ใน Sales Pipeline ของเรา ไปยัง Sales Pipeline ของอีกทีมได้ด้วย เพียงแค่คลิกที่รายชื่อ Lead คนที่เราต้องการจัดการ แล้วเลือก ย้าย Sales Pipeline หลังจากนั้นก็สามารถเลือกได้เลยว่า จะย้ายไปที่ Sales Pipeline ของทีมไหน รวมถึงยังสามารถเลือกได้ด้วยว่า ให้ย้ายไปที่สเตจหรือขั้นตอนไหนของ Sales Pipeline
3. จัดการงานขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จัดการข้อมูลลูกค้าและออเดอร์ได้ดีขึ้น
Sales Pipeline นอกจากจะช่วยออกแบบขั้นตอนการขายให้เข้ากับแผนการตลาดและธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้นแล้ว Sales Pipeline ยังช่วยให้จัดการและดูแลลูกค้าได้อย่างดีด้วย เพราะถ้าหากเราไม่มี Sales Pipeline แล้วบันทึกข้อมูลลูกค้าด้วยตัวเองผ่านไฟล์ Excel หลายๆ ไฟล์ อาจจะทำให้ตามเช็กสถานะของลูกค้าทำได้ยากและเสียเวลาในการดูข้อมูลอย่างมาก ว่าลูกค้ารายนี้อยู่ในขั้นตอนไหน สั่งซื้อของแล้วหรือยัง แล้วมีใครทำใบเสนอราคา ออกใบเสร็จ รวมถึงส่งสินค้าให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้วหรือไหม หรืออาจเจอปัญหาไฟล์ข้อมูลมีเยอะเกินไป ทำให้ตกหล่นเรื่องข้อมูลลูกค้าได้ แต่ Sales Pipeline จะเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางที่รวมข้อมูลทุกอย่างของลูกค้าไว้ในที่เดียว สามารถติดตามสถานะได้ว่า ลูกค้าแต่ละคนอยู่ในขั้นตอนไหน สมาชิกคนไหนกำลังรับผิดชอบอยู่ ทำให้เราสามารถดูแลลูกค้าทุกคนได้อย่างทั่วถึง ป้องกันออร์เดอร์หลุดได้เป็นอย่างดี ช่วยให้เราไม่เสียโอกาสทางการขายได้
4. ดูรายงาน Sales Pipeline แยกตามเซลส์ได้สะดวก
ในหนึ่งธุรกิจเราสามารถสร้าง Sales Pipeline ได้หลายแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจของเรา และเหมาะสมกับลูกค้าในแต่ละกลุ่ม ซึ่งสร้างความสะดวกสบายในการจัดการและดูแลลูกค้าได้อย่างครอบคลุม แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การดูรายงานยอดขายของแต่ละ Sales Pipeline เพื่อจะได้นำไปพัฒนาหรือปรับกลยุทธ์ ซึ่ง R-CRM ก็สามารถดูรายงานการขายในแต่ละ Sales Pipeline ได้อย่างสะดวก เพียงแค่เข้าไปใน R-Insights เลือกแถบเมนูด้านซ้ายที่ Pipeline แล้วเลือก Sales Pipeline และเลือกทีมที่เราต้องการดูรายงานการขายได้เลยอย่างสะดวก โดยไม่ต้องไปงมหาไฟล์ข้อมูลให้อย่างยุ่งยาก อีกทั้งในหน้า R-Insights ก็มีการสรุปข้อมูลการขายสำคัญให้ดูแบบ Dashboard ที่ช่วยให้ดูข้อมูลได้ง่ายขึ้น สามารถนำข้อมูลไปใช้งานต่อได้ทันที
สรุป
ในทุกวันนี้ การจัดการงานขายไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่สร้าง Sales Pipeline ผ่าน R-CRM แพลตฟอร์ตบริหารทีมขาย เพื่อที่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการข้อมูล Leads หรือลูกค้าให้เป็นระบบ และมีความเหมาะสมกับธุรกิจในปัจจุบันเป็นอย่างมาก
Sales Pipeline ใน R-CRM นั้นยังสามารถแก้ไขได้ทันทีตามที่ต้องการ และสำหรับการทำงานของทีมต่างๆ ที่นอกเหนือจากทีมเซลล์ หรือการปรับ Sales Pipeline ให้เข้ากับแผนธุรกิจในยุคปัจจุบันก็ทำได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้เราเห็นภาพการทำงานขายได้ง่ายและเร็วขึ้นว่าควรมีการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาการขายที่ขั้นตอนไหนก่อนหรือหลัง รวมถึงการวิเคราะห์รายงานการขายของแต่ละ Sales Pipeline ก็สามารถทำได้ผ่านหน้าจอเดียว โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหาไฟล์ให้ยุ่งยาก ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน และช่วยให้ทำงานขายได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มโอกาสการขายให้ธุรกิจคุณได้มากขึ้น
R-CRM จะช่วยให้คุณสร้าง Sales Pipeline สำหรับธุรกิจได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้การจัดการงานขายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น พร้อมกับเพิ่มโอกาสการขายได้อีกด้วย หากท่านสนใจทดลองใช้บริการ R-CRM สามารถลงทะเบียนทดลองใช้งานได้ฟรี ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ หรือติดต่อนัดหมาย โทร. 02-016-6789
สมัครใช้งาน Readyplanet R-CRM
R-CRM คือแพลตฟอร์มบริหารจัดการทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ช่วยให้ผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายขาย สามารถติดตามการทำงานของพนักงานขายได้อย่างเป็นระบบ พร้อมรายงานสถิติสำคัญที่จะช่วยให้วางแผนเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์องค์กรที่มีสินค้าหรือบริการแบบ High Involvement
ลงทะเบียนและเริ่มใช้ R-CRM ฟรี