7 เทคนิคถ่ายรูปสินค้าแบบมืออาชีพ ที่ SMEs ทุกคนก็ทำได้

เคยสังเกตตัวเองกันไหม? ว่า เวลาตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์มักเลือกจากร้านที่ภาพสวย ภาพสินค้าที่สวยถูกจัด Display จัดองค์ประกอบภาพให้ดูดี เรามักจะกดเขาไปเลือกชมภาพเพิ่มเติม ผู้บริโภคคนอื่น ๆ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับเรา ต้องการดูรูปสินค้าให้ชัดเจนก่อนทำการสั่งซื้อ

 

 

ข้อดีของการถ่ายภาพสินค้าอย่างสวยงาม

 


  • ดึงดูดความสนใจของลูกค้าให้เข้ามากดชมสินค้า

 

  • ช่วยให้ลูกค้าจินตนาการ สี ขนาด และเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้

 

  • สร้างโอกาส ยอดขายใหม่ ๆ 

 

  • สร้างความมั่นใจให้กับร้านค้า

 

ซึ่งปัญหาหลักของร้านค้าออนไลน์ไม่ใช่การกดถ่ายรูป แต่เป็นการเตรียมตัวนั่นเอง อย่างเช่น บ้างร้านค้าที่ขายมานานมียอดขายจนน่าพอใจ มีกำลังพอที่จะจ้างช่างภาพประจำร้าน และถ้าเราเพิ่งเปิดแบรนด์หล่ะ จำเป็นต้องมีช่างภาพไหม คุณอาจจะคิดว่าการที่มีรูปสินค้าสวย ต้องใช้กล้องแพงเสมอไป ไม่จำเป็นค่ะ เพราะเคล็ดลับที่ Readyplanet จะบอกต่อไปนี้ ง่ายมาก ๆ แค่มี Smartphone ก็ทำได้ โดยเริ่มจากเทคนิคข้อแรกดังต่อไปนี้

 

1. วางแผนการใช้รูปสินค้า

 

สิ่งแรกที่เราต้องวางแผน คือ ใน Platform ต่าง ๆ ที่เราจะนำไปขายนั้นมีอะไรบ้าง เช่น Facebook , Instragram ต้องอัปโหลดขนาดรูปกี่ Pixel ภาพถึงจะคมชัดและไม่แตกถ้าหากวางองค์ประกอบภาพดี แต่อัปโหลดรูปภาพผิดไซซ์ก็จะลดความน่าเชื่อถือลงได้ เพราะฉะนั้น จำเป็นอย่างมากที่เราต้องรู้ก่อนว่าจะนำรูปไปใช้ที่ไหนบ้าง หรือถ้าคุณมีทีมงานที่ทำหน้าที่ Graphic Designer เมื่อคุณศึกษาขนาดเรียบร้อยการสื่อสาร การทำงานของ  ทีม Graphic ก็จะง่ายขึ้น แถมภาพสินค้าของคุณก็ยังคมชัด มัดใจลูกค้าอีกด้วย

 

2. ใช้หลัก Customer Centric

 

Customer Centric คือ การรู้จักและเข้าใจความรู้สึกลูกค้า หลัก Customer Centric นี้ ทุกคนในแบรนด์ต้องเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะทุกคนต้องทำงาน เพื่อออกมาตอบโจทย์ความต้องการของตลาด หรือความต้องการกลุ่มลูกค้าเรานั่นเอง การที่เรารู้และเข้าใจพฤติกรรม ความชอบของลูกค้า โดยที่คุณไม่ต้องฝืนในการเอาใจลูกค้า Customer Centric ไม่เท่ากับ “ลูกค้าคือพระเจ้า” และถ้าคุณทำการวิเคราะห์ว่าลูกค้า อยากเห็นอะไร ชอบเสพสื่อหรืออาร์ตแนวไหน การวางแผนถ่ายรูปสินค้าของคุณ ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

3. เลือกสถานที่ถ่ายรูปให้เข้ากับสินค้า

 


การเลือกสถานที่ถ่ายรูปให้เข้ากับสินค้า หรือการเลือกพื้นหลัง สามารถบ่งบอกกลุ่มลูกค้า และฐานะของสินค้าได้ สังเกตไหมว่า สินค้าที่มีความ Luxury หรือสินค้าที่มูลค้าสูง อย่างเครื่องประดับ นาฬิกา มักจะใช้พื้นหลังที่เป็นฉากขาว ซึ่งสีขาวก็คือสีพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหม่หรือแบรนด์เก่า มักจะมีฉากสีขาวติดไว้ หรือจะเลือกเป็นสถานที่ก็ได้อย่างเช่น ครีมกันแดด เรามักจะเห็นภาพที่ถ่ายบนผ้าใบปิ๊กนิก หรือพื้นทรายที่สื่อว่าอยูทะเลต้องใช้กันแดด หลักการแบบนี้จะทำให้คนดูอินกับองค์ประกอบของภาพด้วย และอีก 1 ข้อที่ต้องคำนึงถึง คือ สินค้าสีอะไร ต้องเลือกฉากหรือสีพื้นหลังที่ตัดกับสินค้า ถ้าเลือกสีที่เหมือนกันไม่ตัดกัน สินค้าจะไม่มีความโดดเด่น ถึงแม้อุปกรณ์ของคุณดีขนาดแต่ถ้าเลือกฉากผิดจากที่จะปังก็กลายเป็นพังได้

 

ถ้าเลือกถ่ายนอกสถานที่ แดดช่วงไหนถึงเหมาะสม

 

แสงสีทอง : ทำให้ภาพสบายตา ดูมีมิติ แต่ข้อควรระวังคือเงาดำจะเยอะเป็นพิเศษ

 


เวลาที่เหมาะสม : 6.30 น. - 8.30 น. และ 16.00 น. - 18.00 น. ถ้าเป็นในช่วงฤดูหนาวแสงสีทองก็อาจจะมีการขยับเวลาออกไป

 

แสงสดใส : เป็นแสงที่ดีที่สุดในการถ่ายรูปภาพหรือวิดีโอ เพราะ ถ่ายออกมาแสงจะถูกต้องกับค่าสายมากที่สุด จะมีความนุ่มนวล เห็นท้องฟ้าสดใสชัดเจน

 


เวลาที่เหมาะสม : 9.00 น. - 11.00 น. และ 14.00 น. - 15.30 น. 

 

เวลาที่ไม่แนะนำในการถ่ายรูปสินค้า

ช่วงเวลา 11.30 น. - 15.30 น. เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตรงกับศรีษะ ก็จะมีเงาที่ดูแข็ง ๆ ไม่สมูทต่อการถ่ายภาพ แสงแดดค่อนข้างแรงและควมคุมให้ภาพออกมาสวยดั่งใจหวังได้ยากที่สุด

 

4. จัดแสงไฟให้เหมาะสม

 

การใช้แสงไฟสตูดิโอในการถ่ายก็เป็นวิธีที่นิยม และสะดวกสบาย จะถ่ายเวลาไหนก็ได้ไม่ต้องพึ่งแสงธรรมชาติ และภาพที่ได้จะดูเป็นมืออาชีพอย่างมาก ประเภทสินค้าที่ชอบใช้ไฟสตูในการถ่าย หรือต้องจัดแสง มักจะเป็นสินค้าประเภทบำรุงผิวพรรณ สกินแคร์ต่าง ๆ หรือแบรนด์ที่ต้องการความเป็นทางการ งานคุณภาพความละเอียดสูง ก็ต้องมีไฟสตูติดไว้บ้าง แล้วถ้าคุณเป็นมือใหม่อยากเลือกไฟมาถ่ายสินค้า ต้องเป็นประเภทไหน เรามี 3 เทคนิคเล็ก ๆ มาให้คุณได้เช็กลิสต์ก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนี้

 

  • สำรวจจุดประสงค์ของเราว่าจะนำมาทำสิ่งใด เมื่อเรารู้เป้าหมาย จุดประสงค์ของเราแล้วขั้นต่อในการที่เราศึกษาเรื่องไฟ จะได้มีเป้าชัดเจนว่าทำเพื่ออะไร ยิ่งถ้าคุณเป็นมือใหม่คุณจะค่อนข้างลังเลกับการตัดสินใจซื้อ เพราะคุณก็จะมองว่า แบบนี้ก็ดี แบบนี้ดูน่าจำเป็น ซึ่งข้อนี้อาจจะทำให้คุณเสียงบประมาณเกินความจำเป็น 

 

  • เลือกชนิดของหลอดไฟที่เข้ากับจุดประสงค์ หลอดไฟจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ

 

1. หลอดไฟเเบบทังสเตน : หลอดประเภททังสเตน หลอดประเภทนี้จะให้แสงโทนส้ม เหมาะสำหรับงานที่ต้องการสร้างอารมณ์ความอบอุ่นให้กับภาพสินค้า  ข้อเสีย คือ หลอดไฟจะมีอุณหภูมิสูงกว่าชนิดอื่น

 


2. หลอดฟลูออเรสเซนต์ : จะให้แสงที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ ให้แสงขาวอมฟ้า เหมาะสำหรับภาพนิ่ง หรือวีดีโอที่เราใช้เป็นไฟหลัก ถ้าคุณต้องการใช้แสงสีขาวหนัก ๆ ข้อเสีย คือ อายุการใช้งาน ความร้อน และหากคุณภาพหลอดที่ไม่ดี สีอาจจะเพี้ยนได้

 


3. หลอด LED : ปัจจุบันจะเน้นหลอดประเภท LED เป็นหลัก เพราะทนความร้อน อายุการใช้งานยาวนาน ที่สำคัญเราสามารถออกแบบได้ว่าจะควบคุมแสงให้ออกมาในแนวไหน

 


  • กำหนดงบประมาณและคุณภาพที่อยากได้เบื้องต้น : ปัจจุบันคู่ของแบรนด์ที่ผลิตออกมาก็มีให้เลือกมากขึ้น และแน่นอนว่าถ้าคุณต้องการคุณภาพดี ๆ ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าคุณกำหนดงบประมาณที่ต้องการได้และทำการเช็กลิสต์ วัตถุประสงค์ความต้องการเรียบร้อยแล้ว เท่านี้ก็จะทำให้คุณได้ไฟถ่ายสินค้าคู่ใจที่ใช้ได้นาน ๆ เลย เพราะข้อมูลครบถ้วนพนักงานก็จะสามารถแนะนำได้ตามความต้องการของคุณนั่นเอง

 

5. ใช้พร็อพช่วยเพิ่มความน่าสนใจ

 

เทคนิคการเลือกใช้พร็อพถ่ายรูปเป็นสิ่งที่แม่ค้าออนไลน์นิยมทำกันมากที่สุด เช่น การถ่ายเสื้อผ้า ถ้าเป็นเสื้อผ้าใส่เที่ยวทะเลรับซัมเมอร์ พร็อพโดยรอบก็ควรไปในหมวดเดียวกัน ให้มีการคุมโทนคุมธีม ไม่ใช่ถ่ายสินค้าในธีมซัมเมอร์ แต่สีสันของพร็อพเป็นโทนมืดโทนดำ เลือกใช้หมวกไหมพรหมเป็นพร็อพ ก็เห็นว่าจะไม่เข้าท่า การที่เราเลือกใช้พร็อพเพิ่มความน่าสนใจ เป็นการแสดงทางอ้อมว่าคุณใส่ใจในรายละเอียดของการอยากขายมากน้อยขนาดไหน 

 

ลองนึกภาพตามแบบง่ายที่สุด

 

ร้าน A : จับสินค้าวางถ่ายกับพื้นหลังแบบไม่มีการจัดระเบียบ สีสันแย่งกันเด่น

 


ร้าน B : จัดพร็อพถ่ายสินค้าแบบคุมธีม มองเห็นรายละเอียดสินค้าที่ชัดเจน

 


คิดว่าสินค้าร้านใดจะมียอดขายมากกว่ากัน หรือสังเกตจากพฤติกรรมการช้อปปิ้งของคุณเองก็ได้ คุณมักจะเลือกร้านที่ข้อมูลครบถ้วน รูปภาพชัดเจนสามารถจินตนาการสินค้าได้ และถ้ายิ่งเป็น ร้านออนไลน์ของคุณเอง คุณก็ควรที่จะใส่ใจรายละเอียดแบบร้านที่คุณชอบซื้อเช่นกัน จุดนี้สำคัญมากพร็อพที่คุณเลือกมาต้องไปเด่นจนเกินไปทำให้สินค้ากลายเป็นพร็อพแทนเด็ดขาด ถ้าพร็อพใหญ่ไป สีสันไม่เข้าธีม ลูกค้าอาจจะคิดว่าคุณขายพร็อพแทนสินค้าก็ได้

 

6. ใช้ขาตั้งกล้องช่วย

 


รู้หรือไม่ว่า ขาตั้งกล้องสามารถเสริมจิตนาการมุมมองของภาพได้

 

มือใหม่หลายคนจะชอบคิดว่า ‘ขาตั้งกล้องยังไม่จำเป็น’ บางคนก็มองว่า เกะกะ ไม่สะดวกสะบายต่อการพกพา จึงมองข้ามความสำคัญของขาตั้งกล้องไป จริง ๆ แล้ว ขาตั้งกล้องเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณมององค์ประกอบของภาพได้ชัดเจนและง่ายขึ้น แถมช่วยให้ภาพคมชัดลดการสั่นสะเทือน ถ้าตอนนี้คุณเป็นมือใหม่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกขาตั้งกล้องตัวแรก อย่างไร Readyplanet มีเทคนิคการเลือกขาตั้งกล้อง มาแบ่งปันคร่าว ๆ ดังนี้

 

  • ความสูงที่เหมาะสม
 

การเลือกความสูงของขาตั้งกล้องควรจะมีความสูงที่เหมาะสมกับตัวผู้ใช้ เมื่อกางสูงสุดเตี้ยกว่าความสูงของผู้ใช้ 15-20เซนติเมตร ตัวกล้องจะอยู่ประมาณระดับสายตาของผู้ใช้พอดี จะได้ไม่ต้องก้มหรือเงยให้เสียสุขภาพหลัง เวลาดูองค์ประกอบของภาพ เพราะถ่ายรูปสินค้าแต่ละที คุณก็จะอยากถ่ายให้มากที่สุด ให้ง่ายต่อการถ่ายก็ควรจะพิจารณาที่ส่วนสูงอย่างเหมาะสมก่อน 

 

วิธีการสังเกต 

 

ส่วนสูงของเราลบกับความสูงของขาตั้งกล้อง เมื่อกลางออกไม่ควรต่ำกว่า 10 เซนติเมตร ตัวอย่างเช่น คุณมีส่วนสูง 160 เซนติเมตร ขาตั้งที่เหมาะสมกับคุณจะอยู่ที่ขนาด 150 เซนติเมตร จะเพิ่มมั่นคงโดยที่คุณไม่ต้องก้ม 

 

  • วัสดุและการรองรับน้ำหนัก

 

ควรเลือกชนิดที่ทำจากวัสดุแข็งแรงทนทาน สามารถรองรับน้ำหนักของกล้อง DSLR และ Mirrorlessได้ เพราะ ถ้าวันข้างหน้าคุณเกิดอยากเปลี่ยนกล้อง จะได้ไม่ต้องหาซื้อขาตั้งกล้องใหม่ และ การรองรับน้ำหนักของขาตั้งกล้อง ต้องรับน้ำหนักได้ถึง 2 เท่าจากน้ำหนักกล้องและอุปกรณ์ทั้งหมด

 

  • ระบบล็อคและจำนวนท่อนรอยต่อ

 

ถ้าคุณอ่านมาถึงจุดนี้ คุณอาจจะสงสัยใช่ไหมว่า “จำนวนท่อนรอยต่อ” มีผลต่อการใช้งานจริงหรอ เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็เหมือนร่มพับ ถ้ามีรอยต่อหลายท่อนก็จะยิ่งไม่แข็งแรง และข้อเสีย คือ การสั่นสะเทือนไม่มั่นคง ปกติทั่วไปจะมีประมาณ 3-6 ท่อน ส่วนนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบุคคล เพราะการพกพา ก็เป็นอีก 1 ปัจจัยที่ต้องนึกถึงก่อนเลือกซื้อ

 

ในส่วนของระบบล็อค ปัจจุบันมีให้เลือก 2 แบบ

 

1. Grip Lock แบบ บานพับ  : ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ข้อควรระวัง คือ ระบบล็อคเป็นบานพับ อาจจะเกี่ยวกับสายหรือสิ่งอื่น ๆ ล้มได้ และไม่เหมาะกับการใช้งานแบบสมบุกสมบัน 

 

2. Twist Lock แบบ ข้อหมุน : หมุนล็อคง่าย กลมกลืนกับขาตั้ง ทำความสะอาดง่าย แต่สำหรับมือใหม่อาจจะสังเกตยากว่าหมุนเข้าร่องล็อคแล้วหรือยัง อาจจะทำให้ไม่มั่นคงได้

 

7. การแต่งภาพ

 


ปัจจุบันการแต่งภาพบุคคลหรือสินค้า ง่ายมากแค่ปลายนิ้ว มีแอปพลิเคชั่นมากมายให้เลือก หรือใครที่สะดวกแบบโปรแกรมก็จะเป็นโปรแกรมยอดฮิต อย่าง Adobe Photo Shop หรือ Adobe LightRoom เพราะสามารถ เลือกโทนสีปรับได้เองตามใจชอบ ไม่ว่าคุณหรือทีมงานของคุณ สะดวกใช้เครื่องมือแบบไหนก็ตาม ควรคำนึงถึงภาพต้องคมชัด สีสันไม่แปลกไปจากเดิมมากนัก และถ้าหากมี Text หรือข้อความบทภาพ ก็ไม่ควรให้บังตัวสินค้า หรือเด่นกว่าสินค้า ควรศึกษาดูคู่แข่ง แบรนด์ตัวอย่าง หา Case Study ที่เราจะดูเป็นแบบอย่างและพัฒนาต่อยอดได้ ไม่ใช่คุณขายเครื่องสำอาง แต่ชื่นชอบโทนสีกราฟิกของร้านอาหาร มีร้านอาหารเป็นอย่าง แบบนี้ก็อาจจะเห็นภาพการพัฒนาไม่ชัด จนพัฒนาต่อไม่ได้และจะกลายเป็นสูญเปล่าหลัก ๆ คือ ดูคู่แข่งทำให้แตกต่างและยังอยู่ในหลักของ Customer Centric

 

วัดผลและพัฒนา

 

หลังจากเช็กลิสต์ทำมาทั้ง 7 ข้อแล้ว คุณควรมีการประเมินผลเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนา เก็บข้อมูลการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ลองถ่ายภาพออกมาให้หลากหลาย เพื่อวัดผลความชื่นชอบของลูกค้า  เช่น

 

  • ยอด Like&Share

 

  • ยอดขายจากภาพหรือAds นั้น ๆ

 

  • ศึกษาเทรนด์และโทนภาพประจำปีเพื่อพัฒนาให้ทันสมัย

 

ซึ่งจริง ๆ แล้ว การถ่ายภาพสินค้าที่ดี อาจไม่จำเป็นต้องลงทุนอุปกรณ์คุณภาพสูงเสมอไป เพราะกล้องมือถือก็สามารถถ่ายได้เหมือนกัน ยุคสมัยเปลี่ยนไปฟังก์ชันการใช้งานก็หลากหลายมากขึ้น อยู่ที่ว่าเราจะถ่ายรูปออกมาและนำได้ตรงใจลูกค้าเป้าหมายได้แค่ไหน สิ่งที่ควรลงทุนจริง ๆ คือ Market หน้าร้านออนไลน์ แพลตฟอร์มสำหรับขายออนไลน์มากกว่า ยิ่งคู่แข่งที่เยอะขึ้น การที่เราจะเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว มันก็ยากขึ้นเช่นกัน ถ้าคุณลงทุนกับการถ่ายรูปสินค้ามาก ๆ ภาพสวย ความคมชัดระดับ Full HD แต่ไม่มีคนซื้อ มันก็คือคอร์สหรือจำนวนเงินที่สูญเสียไป เหมือนการขายของตามตลาดนัดเราอยากเลือกทำเลดี ๆ บนออนไลน์ก็เช่นกัน พยายามเข้าถึงลูกค้า ในทุกช่องทาง Social , Platform ร้านค้าออนไลน์ หรือบนเว็บไซต์ อย่างเช่น 

 

สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ห้างร้านต้องทำตามข้อกำหนดในการรักษาระยะห่าง เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 การขายแบบออฟไลน์ก็ไม่ใช่ทางออกสำหรับยุคนี้ และพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยนี้ไม่ใช่แค่ราคาถูกแล้ว จะยอมจ่ายง่าย ๆ แบรนด์ของคุณต้องมีความน่าเชื่อถือด้วย เพราะฉะนั้นตัว R-Web ของ Readyplanet ก็สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์สำหรับร้านค้าออนไลน์ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น - ระดับมืออาชีพ ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานมาช่วยขายเลย ทุกอย่างสามารถจบได้ภายในเว็บไซต์เลย ถ้าอยากรู้ว่าการมีเว็บไซต์ดีอย่างไรคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ 10 ประโยชน์ของมีเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์

 

ถ้าเราใส่ใจรายละเอียดในการแก้ปัญหา พื้นที่หน้าร้านออนไลน์ ใน R-Web มีฟีเจอร์ R-Shop ที่คุณสามารถออกแบบร้านค้าออนไลน์ได้อย่างสนุกและออกมาตามต้องการ สามารถใส่ลูกเล่นในการชำระเงิน หรือจะระบบขนส่งก็ไม่มีปัญหา ลูกค้าที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณก็สามารถติดตาม Tracking Number ได้ทันทีไม่ต้องรอแม่ค้าตอบ Inbox สะดวกสบาย สามารถแชทผ่านระบบ Chat Center บนเว็บไซต์ได้ และถ้าคุณอยากรู้ว่า R-Shop สามารถศึกษาเพิ่มเติมและทดลองใช้ได้ที่นี่ R-Shop สร้างเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์

 

R-Web เป็นมากกว่าแค่เว็บไซต์ ทรงพลังด้วยเครื่องมือการตลาดครบครัน
R-Web คือหนึ่งในเครื่องมือของ Readyplanet Marketing Platform ที่นอกจากจะทำเว็บไซต์ง่ายแล้ว ยังมาพร้อมเครื่องมือการตลาดแบบ All-in-One ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่วันแรก จนกลับมาซื้อซ้ำ และกลายเป็นลูกค้าประจำที่ผูกพันกับธุรกิจของคุณ
 

 

Updated: 08 June 2021 | Produced by: Ploynaphat Wattanachodjirachai