เทคนิคการเขียน Web Content สำหรับการทำ SEO

เว็บไซต์จะติดอันดับในการค้นหา หรือทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพได้นั้น จะต้องมีเนื้อหา Content ที่ดีและให้ประโยชน์ รวมถึงใช้งานง่ายกับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ด้วย ทำให้ Web Content จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้แต่ละหน้าเว็บของคุณปรากฎบน Search Engine หน้าแรก ๆ และช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าใช้งานจากผู้เยี่ยมชมใหม่ๆ ที่อาจเป็นลูกค้าในอนาคตได้อีกด้วย

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

 

เขียนคอนเทนต์ SEO อย่างไรให้เว็บปัง


ในปัจจุบันเว็บไซต์ควรจะต้องมีเนื้อหาที่ดีและให้ประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือลูกค้าของธุรกิจ เพราะจะช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในการค้นหาได้ดีขึ้น เพิ่มการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราจากลูกค้าใหม่ ๆ หรือผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของเราในอนาคตได้มากขึ้น ดังนั้นการใส่ใจและลงรายละเอียด รวมถึงใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการจัดทำเนื้อหา Content เพื่อการทำ SEO ให้มีคุณภาพ จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามอย่างมาก

 

การทำ SEO Content คืออะไร?

 

SEO การทำ SEO Content

 

บทความ SEO หรือการเขียน SEO (Search Engine Optimization) คือการเขียนเนื้อหาหรือบทความที่ปรับแต่งคำให้เหมาะสมสำหรับอัลกอริทึ่มของ Search Engine เพื่อทำการวิเคราะห์ว่าบทความหรือเนื้อหาบนเว็บนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร มีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เนื้อหาได้คณภาพพอที่จะไปแสดงในผลการค้นหาหน้าแรกๆ หรือไม่ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ เช่น บนหน้า Google หลังจากที่เราพิมพ์ keyword สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์นั้น ข้อดีของการทำ SEO ยังส่งผลในระยะยาวหากมีการติดอันดับการค้นหาแบบธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้เงินในการบูสต์โพสต์หรือโฆษณาผ่าน Google Ads และยังส่งผลให้ traffic ของเว็บไซต์ดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

 

เทคนิคการเขียน SEO Content ให้ติดอันดับการค้นหา

การทำ SEO Content บนเว็บไซต์ จะต้องมีบทความหรือที่เรียกว่า Long-form content เพื่อให้มีเนื้อหามากพอและมีคุณภาพสำหรับ Search Engine วิเคราะห์ข้อมูล อย่างที่ทราบกันดีว่าอันดับแรกควรมี keyword เพื่อให้อัลกอริทึ่มตรวจจับคำนั้น ๆ เมื่อมีผู้ใช้งานค้นหาได้ แต่นอกจากจะมี Keyword แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ Web Content ของคุณปรากฎบนหน้าแรกของ Google รวมถึงแม้แต่การเลือก keyword เองก็ต้องเลือกแบบมีกลยุทธ์เช่นกัน

 

1. วางแผนและกำหนด keyword

การวางกลยุทธ์ตั้งแต่แรกเป็นสิ่งสำคัญในการทำ Web content เพื่อช่วยให้ SEO ติดอันดับการค้นหา โดยสามารถกำหนด keyword ที่เราต้องการไว้เบื้องต้นหรือเรียกง่าย ๆ ว่าลองเดาทางว่าหากเป็นลูกค้าจะเสิร์ชหาคำลักษณะใด หลังจากได้คำมาส่วนหนึ่ง ลองใช้เครื่องมือฟรีจาก Google อย่าง Keyword Planner ในการป้อนคำที่ต้องการหรือคำที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีข้อดีคือดู Search volumn ได้ และดูอัตราการแข่งขันเพื่อไม่ให้เสียเงินเกินความจำเป็นเมื่อต้องเจอคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน ซึ่งหลักการเลือกใช้ keywords ในเนื้อหาควรมี ดังนี้

  • มี SEO Keyword หลักเพียงคำเดียว ที่เหลือใส่เป็น keyword รองที่อาจกระจายอยู่ในเนื้อหานิดหน่อย และให้มี Long-tailed keyword ที่สอดคล้องกับ keyword หลัก
  • เลือกใช้ Keyword ที่มีอัตราการค้นหาเยอะ แต่การแข่งขันต่ำ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากในกรณีที่ใช้ keyword เหล่านั้นมาทำโฆษณา

 

 

2. ตั้งคำถามที่คนอยากรู้เกี่ยวกับธุรกิจ

หลังจากที่ได้ keyword เพื่อมาใช้ในการทำ SEO Content แล้ว เนื้อหาบทความก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งหากคุณมีคำถามว่าบทความควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ต้องเริ่มต้นด้วยหัวข้อแบบไหนดี ข้อนี้จะสอดคล้องกับ keyword หลักที่เลือกใช้ ลองสมมติว่าเป็นลูกค้าที่ต้องการใช้สินค้าหรือบริการ ยกตัวอย่างเช่น ต้องการหาร้านเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอล จะต้องมีคำค้นหาหลัก เช่น “เฟอร์นิเจอร์ มินิมอล” และตามมาด้วยข้อสงสัยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น “การดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้แท้” หรือ “เลือกเฟอร์นิเจอร์ให้บ้านอย่างไร ให้สวยแบบมินิมอล” ทำให้เราสามารถแทรก keywords สำคัญที่คนเหล่านี้มีโอกาสเสิร์ชเข้ามาเพื่อต้องการข้อมูล และจะพบเว็บไซต์ธุรกิจที่เรามีสินค้าพร้อมให้เลือกซื้อ เป็นต้น ในกรณีนี้สามารถกำหนด Long-tailed keyword ไปด้วยได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง

  • เฟอร์นิเจอร์ไม้ แต่งบ้าน มินิมอล ดูแลรักษา
  • เฟอร์นิเจอร์ไม้ มินิมอล กรุงเทพฯ ราคา

 

 

3. จำนวน keyword ที่พอดี และมีคุณภาพ

เป็นคำถามยอดนิยมสำหรับหลายคนที่เริ่มทำ SEO Content บนเว็บไซต์ธุรกิจว่า ควรมี keyword เท่าไหร่ถึงทำให้ติดอันดับการค้นหา? หรือมี keywords จำนวนมากๆ ช่วยให้ติดเสิร์ชง่ายขึ้นหรือไม่? ซึ่งหากเราใส่คำเหล่านี้มากเกินไป Google จะมองว่า content นั้นอาจไม่มีเนื้อหาที่ได้ประโยชน์หรือไม่มีคุณภาพ อาจเป็นบอท ซึ่งคำแนะนำคือ Keyword ไม่ควรเกิน 2.5% ของปริมาณเนื้อหาทั้งหมดในบทความ ใส่แบบพอดีๆ ให้เนื้อหาอ่านเข้าใจได้ ส่วนสำคัญที่ต้องมี keyword เลยคือหัวข้อบทความ และใส่ใน 100 คำแรกของบทความ (หรือในประโยคแรก) จากนั้นค่อยกระจาย keyword หลักให้อยู่ในทั่วๆ บทความ ไม่จำเป็นต้องทุกบรรทัดหรือถี่เกินไป

นอกจากนี้ SEO keyword ยังสามารถเพิ่มเข้าไปในส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์ได้ ไม่ว่าจะเป็น

  • อย่าลืม Keyword หลักตั้งแต่ Headline และ Sub Headline
  • ใส่ keyword ในคำอธิบายเนื้อหา (Description)
  • ใส่ keyword ลงไปใน URL กรณีที่เป็นคำภาษาอังกฤษ หรือความหมายที่เกี่ยวข้องกัน

 

 

4. บทความ SEO ที่สดใหม่ และให้ประโยชน์

นอกจากจะกระจาย keyword แบบพอดีแล้ว อัลกอริทึ่มของ Search Engine ที่ทำการวิเคราะห์เนื้อหาจะต้องบอกได้ว่าเกี่ยวกับอะไร ดังนั้นเนื้อหาบทความจะต้องเข้าใจได้ เป็น content ที่เขียนขึ้นใหม่ไม่คัดลอกมาจากที่ใด และให้ประโยชน์กับผู้อ่านได้ รวมถึงเนื้อหาจะต้องสอดคล้องกับหัวข้อและ Description ของบทความ หากเนื้อหาเหล่านั้นมีภาพหรือวิดฺีโอประกอบ ควรใส่ alt tag ไปในแต่ละรูปภาพและยังแทรก keyword เข้าไปได้เช่นกัน เทคนิคนี้มีโอกาสให้ค้นหาเจอได้ทั้งเนื้อหาบนหน้าแรก และค้นหาเจอผ่านรูปภาพ ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบนเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี

 

 

5. การสร้าง Backlink ที่ดีให้เว็บไซต์

หลังจากสร้าง SEO Content พร้อมองค์ประกอบอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว การหาทางให้ผู้เยี่ยมชมใหม่ๆ หรือคนที่อาจเป็นลูกค้าของคุณในอนาคต คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นเรืองที่ยากพอสมควร การมี Backlink จึงเป็นอีกช่องทางที่ช่วยเพิ่ม traffic ได้เป็นอย่างดี และช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจติดหน้าค้นหาได้ง่ายขึ้น

Backlink คือ การแนบลิงก์เว็บไซต์ไว้บนเว็บอื่นๆ หรือแพลตฟอร์มอื่นเพื่อให้เชื่อมโยงกลับมาที่หน้าเว็บไซต์ของเราอีกที และยังถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการทำ SEO ว่าหากมี Backlink จำนวนมาก ยิ่งเพิ่มโอกาสที่ Google จะให้คะแนนกับหน้าลิงก์ปลายทางมากขึ้น ทั้งนี้ควรคำนึงถึงคุณภาพของ Backlink ด้วยเช่นกัน เช่น เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอื่นที่เราแนบลิงก์เพื่อให้กลับมา เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเราหรือไม่ และลิงก์หน้าเว็บใช้งานได้ ไม่มีปัญหา ไม่ได้เป็นสแปม เท่านี้ก็จะช่วยเพิ่มคุณภาพของ Backlink ได้แล้ว

นอกจากนี้ หากเนื้อหาของบทความในหน้าเว็บของคุณหลายบทความที่มีความเชื่อมโยงกัน สามารถใส่ internal link เพื่อคลิกไปอ่านเพิ่มเติม เป็นการเพิ่ม traffic เว็บไซต์เพื่อดึงให้ผู้เยี่ยมชมเกิดความสนใจและอยากอ่านเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาค้นหา ทำให้เพิ่มระยะเวลาในการอยู่บนเว็บนานขึ้นด้วย

 

ตรวจสอบอย่างไรว่า SEO content บนเว็บไซต์ มีประสิทธิภาพ?

หลังจากที่วางกลยุทธ์ทำ SEO content บนเว็บไซต์เรียบร้อย การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้ทราบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นได้ผลดีหรือควรปรับปรุงอย่างไรบ้าง ซึ่งหากมีการทำ Web Content โดยตรง สามารถวิเคราะห์ได้ตาม metric ดังนี้

  • Conversion Rate สำหรับประเมินว่ามีผู้เยี่ยมชมเห็น content ของเราผ่านช่องทางไหน เช่น (Direct/SEM/Search/Referral)
  • New Visitors มีจำนวนผู้เยี่ยมชมใหม่ๆ หรือเป็นคนที่เข้าเว็บไซต์ครั้งแรกผ่านเป็นจำนวนเท่าไหร่ จาก content ที่เขียนขึ้นมา
  • Value - Conversion อัตราการเช็กว่า ผู้ใช้งานให้คุณค่ากับเนื้อหา content มากพอที่จะเกิด Conversion หรือเกิดการกระทำอื่นๆ ต่อบนหน้าเว็บหรือไม่

 

ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคในการทำ Web Content เพื่อช่วยให้การทำ SEO เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งส่งผลดีกับธุรกิจออนไลน์ในรูปแบบเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการแบบใด หรือแม้แต่เป็นธุรกิจเล็ก ๆ SMEs หรือผู้ประกอบการขนาดใหญ่ สามารถนำหลักการนี้ไปปรับใช้และวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้เช่นกัน นอกจากนี้การอัปเดต Content บนหน้าเว็บอย่างสม่ำเสมอยังเป็นผลดีกับการทำ SEO แบบธรรมชาติในระยะยาวด้วย เพื่อขั้นตอนนี้ต้องอาศัยเวลา แต่หากติดอันดับแล้วค่อนข้างได้ traffic ที่ดีและอยู่หน้าแรกแบบระยะยาว ซึ่งหากคุณยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำ Web Content หรือการทำ SEO ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำได้ อย่าง Readyplanet บริษัททำ SEO ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำเว็บไซต์และเว็บไซต์สำเร็จรูป

 

 

 

สำหรับผู้ที่สนใจบริการ Readyplanet Smart SEO เพื่อยกระดับคุณภาพเว็บไซต์ของธุรกิจ

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ คลิกที่นี่