โฆษณา Google Ads กับ Facebook Ads แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ?
จะเริ่มทำออนไลน์ต้องเริ่มอย่างไร? ทำโฆษณา Google หรือ ทำโฆษณา Facebook อย่างไหนดีกว่ากัน? Readyplanet เชื่อว่านี่คือคำถามท็อปฮิตที่ติดอยู่ใจของผู้ประกอบการธุรกิจที่ปรับตัวเข้ามาสู่โลกของการทำออนไลน์ ถ้าธุรกิจไหนได้เริ่มลองลิ้มชิมรสกันไปบ้างแล้วก็น่าจะได้ร้องโอดโอย เพราะไม่ใช่ว่าการทำโฆษณาออนไลน์จะสามารถดึงยอดขายได้ดั่งใจในช่วงเดือนสองเดือนแรก
สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT ร่วมกับ คันทาร์ (ประเทศไทย) สำรวจมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 จาก 42 เอเยนซีพันธมิตร ผ่านสินค้าและบริการ 59 อุตสาหกรรม ที่ใช้จ่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 16 ประเภท พบว่าในปี 2564 การเติบโตของสื่อดิจิทัลยังร้อนแรง และเงินสะพัดทะลุเป้าหมาย 18% สูงกว่าคาดการณ์จะโต 8% เนื่องจากไตรมาส 4 โค้งสุดท้ายปี โรคโควิดระบาดยังทำให้แบรนด์ปรับตัวหันใช้เงินจากสื่อดั้งเดิมไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ แทน (ที่มา)
ที่มา: DAAT ร่วมกับ คันทาร์ (ประเทศไทย) และ https://www.bangkokbiznews.com/business/995637
สำหรับปี 2565 สื่อที่ยังคงแกร่ง แนวโน้มครองเม็ดเงินไว้มากสุดอย่างเหนียวแน่น คือ Facebook คาดการณ์โกยเม็ดเงิน 8,106 ล้านบาท สัดส่วน 30% ตามด้วย Youtube 4,690 ล้านบาท สัดส่วน 17% วิดีโอออนไลน์ 2,591 ล้านบาท สัดส่วน 10% ที่เหลือเป็นแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น โซเชียล ครีเอทีฟ ดิสเพลย์ ไลน์ ติ๊กต็อก (TikTok) เป็นต้น
“เทรนด์การใช้สื่อดิจิทัลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เติบโตถึง 10 เท่า และมองแนวโน้มการใช้เม็ดเงินจะเติบโตมากกว่านี้ คาดว่าจะมีสัดส่วนแซงสื่อดั้งเดิมในอนาคตอันใกล้ โดยมีโควิดเป็นปฏิกิริยาเร่ง ประกอบกับมีแพลตฟอร์มใหม่เข้ามา เช่น ติ๊กต็อก แซงทวิตเตอร์ แม้จะมีเจ้าใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก กูเกิลเจ้าของแพลตฟอร์มยูทูบ (Youtube) แต่การเริ่มผ่อนความร้อนแรง เพราะตัวเลือกแพลตฟอร์มใหม่เข้ามาแทนตลาดมากขึ้น” (ที่มา)
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อเทรนด์การใช้สื่อดิจิทัลยังคงเติบโต การใช้งบโฆษณาออนไลน์ก็จะเติบโตได้มากกว่านี้ด้วย พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ก็ยิ่งเป็นที่นิยมและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแล้ว Reayplanet ก็ยังเชื่อว่าการทำธุรกิจออนไลน์เป็นโอกาสและถือเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างยิ่งในปีนี้! ดังนั้นแล้วเราลองมาทำความรู้จักและเข้าใจธรรมชาติของ Facebook Ads และ Google Ads ก่อนดังต่อไปนี้
Facebook Ads คืออะไร?
คำอธิบายสั้น ๆ จาก Facebook for Business ที่นิยาม Facebook Ads ไว้ว่า “โฆษณาที่สามารถปรากฏใน News Feed บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือหรือคอลัมน์ขวามือของ Facebook บนหน้าจอคอมพิวเตอร์” ข้อดีของ Facebook Ads คือคุณสามารถยิงโฆษณาข้ามไปยัง Instagram ได้อีกด้วย
วิธีการทำโฆษณา Facebook นั้น สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ “วัตถุประสงค์” ในการทำโฆษณา โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 ข้อคือ
- Awareness คือการสร้างการรับรู้ ซึ่งความแตกต่างระหว่าง Brand Awareness กับ Reach ก็คือ Brand Awareness เน้นสร้างการรับรู้ของแบรนด์และธุรกิจของคุณ ส่วน Reach จะเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่คุณสนใจ
- Consideration คือการมุ่งหาคนที่มีความสนใจในมิติต่าง ๆ เช่น Traffic (หาคนเข้าไปยังช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่น), Engagement (หาคนที่สนใจการปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจเรา), Video Views (คนที่สนใจการดูวิดีโอ), Lead Generation (หาคนที่สนใจการให้รายชื่อ), Messages (หาคนที่ชอบ inbox เข้าไปพูดคุยสอบถาม)
- Conversion คือการมุ่งหาคนที่เคยคลิกสั่งซื้อบนเว็บไซต์หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น
ขั้นตอนต่อมาคือการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการ โดยคุณสามารถระบุข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการได้ เช่น เพศ อายุ อาชีพ ที่อยู่อาศัย ความสนใจและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับสินค้าและบริการของเรา ให้โฆษณาของคุณไปปรากฏแก่บุคคลกลุ่มนั้นได้ โดยคุณสามารถสร้างรูปแบบของสื่อโฆษณาได้หลายรูปแบบได้ทั้งภาพและวิดีโอ
ประเภทของรูปแบบโฆษณาบน Facebook รูปแบบโฆษณาที่คุณสามารถใช้ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การโฆษณาของคุณ ดังนี้
1. Photo : รูปแบบของ Facebook Ads แบบรูปภาพนั้น จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ Facebook โดยทั่วไปแล้วพบว่า สามารถดึงดูให้คนเข้ามายัง Facebook Page ของคุณได้ดีกว่าโฆษณารูปแบบอื่น
ซึ่งรูปแบบของ Facebook Ads แบบรูปภาพสามารถทำได้ทั้ง ภาพเดี่ยว (Single Photo) ทำได้ทั้งแบบแนวตั้ง แนวนอน และจตุรัส และอัลบั้มภาพ (Multiple Photo) มีให้เลือกทำได้ทั้งแบบอัลบั้ม 3 ภาพและ 4 ภาพขึ้นไป
เทคนิคการเลือกใช้สื่อโฆษณาประเภท Photo : รูปแบบของ Facebook Ads แบบรูปภาพนั้น จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ Facebook โดยทั่วไปแล้วพบว่า สามารถดึงดูดให้คนเข้ามายัง Facebook Page ของคุณได้ดีกว่าโฆษณารูปแบบอื่น ฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณา Facebook คือ Awareness และ Consideration ที่เป็น Traffic (หาคนเข้าไปยังช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น) อ้างอิงจาก : https://www.facebook.com/business/ads/photo-ad-format#
2. Video : Facebook Ads ที่เป็นวิดีโอนั้นเป็นรูปแบบที่ช่วยสร้างการปฏิสัมพันธ์ (Engagement) แก่ผู้คนได้ดีที่สุดในขณะนี้ ฉะนั้นหากคุณมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการสร้างการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายของคุณในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ Comment, Like, Share หรือ Video View สิ่งนี้จะช่วยคัดกรองกลุ่มคนที่แสดงความสนใจในสินค้าและบริการของคุณได้ดีทีเดียว
Facebook Ads ที่เป็นวิดีโอสามารถเลือกปรากฏได้ 3 ช่องทางบน Facebook ได้แก่
- In-Stream : วิดีโอโฆษณาจะปรากฏขณะที่กลุ่มเป้าหมายกำลังดู Video Content บน Facebook
- Feed : วิดีโอโฆษณาจะปรากฏบน Feed ในหน้าแรกของ Facebook กับกลุ่มเป้าหมายที่เราเลือก
- Story : วิดีโอโฆษณาจะปรากฏใน Facebook Story หรือ Instagram Story
เทคนิคการเลือกใช้สื่อโฆษณาประเภท Video เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้นด้วย 3 เทคนิค ดังนี้
- Carousel ads : ใน Instagram Stories : รู้หรือไม่ว่าตอนนี้คุณสามารถแสดงภาพหรือ Video สินค้าและบริการของคุณมากกว่าหนึ่งรายการแบบ Carousel ads ใน Instagram Stories ได้แล้ว ด้วยพฤติกรรมของคนที่ใช้ Instagram ส่วนใหญ่ ชื่นชอบการดู Instagram Stories สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถดึงดูดใจให้กลุ่มเป้าหมายคลิกดูสินค้าของคุณได้มากขึ้น
- Collection Ads : ความสามารถของครีเอทีฟชนิดนี้คือ คุณสามารถสร้างสรรค์โฆษณาได้หลากหลายมากขึ้น เพราะสามารถใส่ได้ทั้ง Video และรูปภาพในครั้งเดียว อีกทั้งยังสามารถกำหนดให้ลูกค้าเข้าไปศึกษารายละเอียดของสินค้าและบริการของคุณเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์, Landing Page หรือ Facebook Shop ของคุณ
- Instant Experiences : หรือแต่เดิมเรียกว่า Canvas ซึ่งก็คือการสร้างสื่อโฆษณาที่มีความหลากหลายมากขึ้น ที่ทำได้ทั้ง Text, ภาพ, Video หรือข้อเสนอต่าง ๆ ให้กับสินค้าและบริการของคุณ นอกจากนั้นการสร้างสรรค์โฆษณาแบบ Instant Experiences นี้ สามารถเลือกเท็มเพลตให้เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของคุณได้อีกด้วย เช่น การสร้าง Storytelling ให้ผู้คนได้รับรู้เกี่ยวแบรนด์สินค้าหรือบริการของคุณ หรือการสร้าง Lookbook ให้ผู้คนสนุกและสร้างแรงบันดาลใจไปกับสินค้าของคุณ
3. Messenger : จากการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงสถิติของ Facebook เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ Facebook พบว่า “1.3 พันล้าน คือจำนวนของผู้คนที่ใช้ Messenger ต่อเดือน! ”เป็นที่ทราบกันดีว่าการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้คนที่มีต่อแบรนด์สินค้าหรือบริการ ในรูปแบบของการส่งข้อความสอบถามรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมนั้น ถือว่าคนกลุ่มนั้น ๆ มีโอกาสสูงมากที่จะซื้อสินค้าของคุณ ฉะนั้นการทำโฆษณาผ่านกล่องข้อความของ Messenger จึงถือว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้คุณขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น นอกจากนั้นคุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ของคุณเพิ่มเติมได้อีกด้วย
4. Playable : รูปแบบของโฆษณาออนไลน์บน Facebook Ads นี้ถูกสร้างมาให้สำหรับธุรกิจเกมออนไลน์ โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าจะสร้างเพียง Video ตัวอย่างการเล่นของเกม หรือสร้างให้มีรูปแบบที่กลุ่มเป้าหมายสร้างทดลองเล่นก่อนจะติดตั้งได้ ดังนั้นโฆษณาในรูปแบบของ Playable นี้จึงเหมาะสำหรับวัตถุประสงค์แบบ Conversion ที่มุ่งหาคนเพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น เป็นต้น
Google Ads คืออะไร? รูปแบบของสื่อโฆษณาที่ใช้มีกี่ประเภท?
การทำ Google Ads คือการทำโฆษณาออนไลน์ที่ไปปรากฏยังหน้าแรกของ Google รวมถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เป็นพาร์ตเนอร์ของ Google เช่น Youtube ได้อีกด้วยโดยมีรูปแบบของสื่อโฆษณาที่สามารถทำได้ 4 รูปแบบคือ
1. Search Ads : ที่ให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏจากการค้นหาบน Google โดยคุณสามารถเลือก Keywords ที่กลุ่มเป้าหมายจำนวนมากมักจะมีพฤติกรรมการค้นหาคำเหล่านั้น หรือที่เรารู้จักกันชื่อเดิมว่า “Google Adwords” เทคนิคการเลือกใช้สื่อโฆษณาที่เป็น Text, Keywords นี้เหมาะสำหรับการหากลุ่มเป้าหมายโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การสร้าง Traffic จำนวนมากให้เว็บไซต์ของคุณ หัวใจสำคัญของการทำโฆษณาประเภทนี้คือ Keywords โดยคุณจะต้องวิเคราะห์และคาดการณ์ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณมักจะมีพฤติกรรมการเสิร์ชคำว่าอะไร เมื่อมีความต้องการหรือสนใจในสินค้าและบริการประเภทเดียวกับธุรกิจของคุณ
โดยคุณสามารถใช้เครื่องมือที่ช่วยให้การเลือก Keywords ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ด้วย 2 เครื่องมือ คือ
- Keywords Planner Planner : เครื่องมือนี้จะช่วยให้ค้นหาไอเดียในการสร้าง Keywords ให้ธุรกิจของคุณได้ อีกทั้งยังสามารถดูจำนวนและปริมาณการค้นหา Keywords ที่เป็นเป้าหมายของคุณ เทียบกับคำอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง พร้อมงบประมาณค่าใช้จ่ายของ Keywords นั้น ๆ ต่อคลิก
- Google Trend : เครื่องมือนี้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เพื่อดูกระแสความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่ว่านิยมเสิร์ชอะไรในช่วงระยะเวลานั้น ๆ
2. Banner Ads : ที่สามารถทำได้ทั้ง ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว (GIF File) ให้โฆษณาของคุณไปปรากฏบนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google
เทคนิคการเลือกใช้สื่อโฆษณาที่เป็น Banner Ads นี้ เหมาะสำหรับการหากลุ่มเป้าหมายโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การสร้าง Awareness เพราะมีความหลากหลายของช่องทางที่จะปรากฏโฆษณาของคุณ โดยเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยสร้าง CTR หรืออัตราการคลิกได้มากขึ้น คือ 1. การมี Call-to-Action บน Banner Ads ของคุณ เช่น สอบถามเพิ่มเติม, ซื้อเลย, คลิกเลย เป็นต้น 2. Banner Ads ที่เป็น GIF File เพราะภาพเคลื่อนไหวหรือมีการกะพริบไปมา ช่วยดึงดูดความสนใจของคนที่เห็นโฆษณาได้ดีกว่าภาพนิ่ง
3. Video Ads : นอกจากการทำโฆษณาแบบ GDN เพื่อไปปรากฏในเว็บไซต์ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google แล้ว การทำสื่อโฆษณาแบบวิดีโอผ่าน Google Ads ยังสามารถไปปรากฏบน Youtube ในรูปแบบของ Video ได้ด้วย โดยมี 4 รูปแบบของการสร้างสื่อโฆษณา ดังนี้
- Skippable Video Ads : คือ Video โฆษณาที่สามารถกดข้ามได้ หลังจากวิดีโอรันผ่านไป 5 วินาที
- Non-Skippable Video Ads : คือ Video โฆษณาที่ไม่สามารถกดข้ามได้ โดยมีระยะเวลาของคลิปโฆษณาให้มีความยาวไม่เกิน 20 วินาที
- Bumper Ads : Video โฆษณาที่ปรากฏขึ้นขณะที่กลุ่มเป้าหมายกำลังดู Video ต่าง ๆ บน Youtube อยู่ เป็น Video โฆษณาขนาดสั้นที่ข้ามไม่ได้ความยาวไม่เกิน 6 วินาที
- Overlay Ads : โฆษณาแบบรูปภาพหรือข้อความซ้อนทับกับ VDO ต่าง ๆ บน Youtube ที่ในส่วนล่าง 20% ของวิดีโอ
เทคนิคการเลือกใช้สื่อโฆษณาที่เป็น Video Ads นี้ โดยการทำโฆษณาออนไลน์บน YouTube ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับผู้ที่สนใจสินค้าและบริการของคุณได้ ในระหว่างที่กลุ่มเป้าหมายจำนวนมากที่กำลังดู YouTube ที่พวกเขาชื่นชอบอยู่ เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์ของแบรนด์ที่ต้องการสร้าง Awareness ช่วยเพิ่มยอด View ของ Video Ads ของคุณได้อีกด้วย
4. Product Shopping และ Showcase Shopping : และด้วยการเจริญเติบโตของ E-Commerce ทั่วโลก ซึ่งไปเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่มักซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น และหนึ่งพฤติกรรมสำคัญของคนส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการ Shopping Online คือการเสิร์ชหาข้อมูลสินค้าที่คนเหล่านั้นต้องการจะซื้อหรือกำลังมีความสนใจอยู่ ดังนั้น จึงมีรูปแบบของ Google Ads เพิ่มขึ้นคือ Product Shopping และ Showcase Shopping ที่สามารถแสดงสินค้าของคุณพร้อมราคาและลิงก์ร้านค้าของคุณให้ปรากฏในหน้าแรกของ Google ผ่านการเสิร์ชคำนั้น ๆ ได้เลย ดังภาพ
มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงเริ่มเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ ของการทำโฆษณา Google กับ Facebook Ads กันแล้ว Readplanet จึงขอสรุปหลักการในการเลือกใช้ โฆษณา Google Ads กับ Facebook Ads ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ดังนี้
1. การเลือกตามประเภทของธุรกิจ : ก่อนอื่นคือคุณต้องรู้ว่าธุรกิจของคุณเป็นแบบ B2B (Business to Business) หรือ B2C (Business to Customer) ซึ่งการทำโฆษณาออนไลน์ในยุคก่อนโควิดสัก 3-5 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำโฆษณาออนไลน์หลายคนแนะนำให้กลุ่ม B2B เน้นการทำ Google Ads เป็นหลัก เพราะลักษณะของธุรกิจประเภทนี้ต้องมีความน่าเชื่อ ซึ่งเครื่องมือสำคัญก็คือเว็บไซต์ การนำพากลุ่มเป้าหมายมายังเว็บไซต์ โดยธรรมชาติของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจที่เป็น B2B ต้องมีกระบวนการคิดและตัดสินใจมากกว่า B2C เพื่อศึกษาข้อมูลต่างๆ ของสินค้าและบริการ รวมถึงแบรนด์หรือบริษัทของคุณ แต่ในปัจจุบันปริมาณและพฤติกรรมของผู้คนที่ใช้งานออนไลน์เปลี่ยนไปและเพิ่มมากขึ้น ก็เลือกทำโฆษณาออนไลน์เพียงช่องทางเดียวอาจทำให้เสียโอกาส
Readyplanet จึงขอแนะนำกลวิธี Multi-Channel เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้สามารถเข้าถึงแบรนด์ของคุณให้ได้มากขึ้น จึงควรเพิ่มช่องทางออนไลน์ของคุณให้มีความหลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น ทั้ง Website, Social Media และ E-Marketplace อ่านบทความที่เผยกลวิธี Multi-Channel ได้โดย คลิกที่นี่
โดยใช้การทำโฆษณาออนไลน์ทั้ง Google Ads กับ Facebook Ads ควบคู่กันไปในสัดส่วนที่ต่างกันในแต่ละประเภทธุรกิจ ตัวอย่างเช่น กลุ่มธุรกิจที่เป็น B2B อาจแบ่งสัดส่วนของงบโฆษณาไปที่ Google Ads เยอะกว่า Facebook Ads แบบ 80% -20% หรือ กลุ่มธุรกิจที่เป็น B2C ที่มีเว็บไซต์ของตัวเองแล้ว ก็อาจจะแบ่งสัดส่วน Facebook Ads 80% และ Google Ads 20% เป็นต้น แต่ทั้งนี้อาจต้องศึกษาเพิ่มอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วกลุ่มลูกค้าเป้าหมายค้นหาหรือพบเจอธุรกิจของคุณผ่านช่องทางใดมากกว่ากัน
เสริมจุดแข็งให้กลยุทธ์ Multi-Channel ทั้งจากเว็บไซต์และ Facebook Page ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำโฆษณาออนไลน์ที่แม่นยำมากขึ้น ก็คือการทำ Retargeting Ads ที่ช่วยส่งสินค้าและบริการของคุณไปกระตุ้นลูกค้าที่เคยเข้าเว็บไซต์ของคุณแล้ว แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อสินค้านั้นให้ได้เจอกับโฆษณาสินค้านั้นอีกครั้ง ได้ทั้งบน Facebook และเว็บไซต์พาร์ตเนอร์ของ Google เป็นต้น
และเพื่อให้การทำโฆษณาออนไลน์ของคุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด Readyplanet ขอแนะนำ R-Dynamic ระบบโฆษณาแบบ Dynamic Retargeting คือเครื่องมือการสร้างโฆษณาออนไลน์แบบ Dynamic Retargeting ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการ Retargeting ทั่วไป ที่นอกจากจะช่วยให้โฆษณาของคุณติดตามลูกค้าเป็นรายบุคคลได้แล้ว ยังสามารถช่วยสร้างโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแบบอัตโนมัติ (Automated Personalized Ads) ให้ส่งผ่านไปได้ยัง Facebook และ Google
2. การเลือกตามวัตถุประสงค์ของการทำโฆษณา : อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น เกี่ยวกับเทคนิคในการเลือกใช้รูปแบบสื่อโฆษณาต่าง ๆ ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ในแต่ละแบบ ซึ่งสามารถจำแนกได้ตาม Marketing Funnel ได้ดังนี้
- Awareness : สร้างการรับรู้ของแบรนด์หรือบริษัทของคุณกับกลุ่มเป้าหมายให้เลือกใช้ Facebook Ads ที่เป็นรูปภาพ และ Google Ads ที่เป็นรูปแบบของ Banner Ads
- Consideration : เป็นช่วงที่กรองกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของเรา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจในสินค้าและบริการของคุณ เลือกใช้ Facebook Ads ที่เป็น VDO Ads เพื่อดึงดูดใจให้กลุ่มเป้าหมายมาปฏิสัมพันธ์สินค้าและบริการของคุณมากขึ้น ประโยชน์ของการสร้าง Engagement คือคุณสามารถนำกลุ่มเป้าหมายนี้ไปทำ Retargeting หรือ Remarketing Ads ไปกระตุ้นใ้คนเหล่านี้กลับมาซื้อสินค้าของคุณได้อีกทางหนึ่งด้วย
- Evaluation หรือ Conversion : วัตถุประสงค์หลัก Evaluation หรือ Conversion นี้ก็เพื่อผลักดันให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการกระทำบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การดาวน์โหลด หรือการคลิกเข้าเว็บไซต์ ฉะนั้น Facebook Ads ที่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์นี้คือ Messenger Ads และ Playable ส่วนฝั่งของ Google Ads นั้น โฆษณาที่เป็น Text, keywords Search หรือ Product Shopping และ Showcase Shopping ก็จะช่วยตอบสนองให้คนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์และซื้อสินค้าของคุณได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ศึกษาเกี่ยวกับ Marketing Funnel ได้โดย คลิกที่นี่
3. การเลือกตามกลุ่มเป้าหมาย : ในวิธีการนี้ สำหรับ Google Ads ที่เป็น Banner และ VDO คุณจะต้องใช้ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่มีความแม่นยำ อาจเริ่มจากการตั้งคำถามว่า “ลูกค้าของคุณเป็นใคร?” โดยการทำ Target Segmentation ว่าสัดส่วนของเพศเป็นยังไง อายุเท่าไหร่ อาศัยอยู่ที่ไหนบ้าง, อาชีพอะไร, รายได้เท่าไหร่, มีพฤติกรรมการใช้ออนไลน์อยู่บนแพลตฟอร์มไหนบ้าง Facebook หรือ Google มากกว่ากัน? , สนใจอะไรอยู่, มีปัญหาหรือความต้องการอะไร ที่สามารถเชื่อโยงกับสินค้าและบริการของคุณได้ เป็นต้น
ส่วน โฆษณาที่เป็น Text, keywords Search คุณสามารถใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์และเลือกคำค้นหาที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคุณได้จาก Google Keywords Planner และ Google Treands ได้เลย
ส่วน Facebook Ads สามารถกำหนดและสร้างกลุ่มเป้าหมายให้คุณได้ 3 กลุ่มดังนี้
- Core Audience เราจำเป็นต้องใส่ข้อมูลต่าง ๆ ของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเองในระบบของการลงโฆษณา Facebook เช่น เพศ อายุ ที่อยู่ ความสนใจ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ
- Custom Audience คือกลุ่มลูกค้าที่รู้จักธุรกิจของคุณอยู่แล้ว และคุณมีข้อมูลของลูกค้า ทั้ง เบอร์โทร อีเมล คนที่เคยเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ (จะต้องติดตั้ง Facebook Pixel Google Analytic แล้ว) ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่รู้จักและสนใจธุรกิจของคุณอยู่แล้ว มากกว่าคนใหม่ในกลุ่ม Core Audience ฉะนั้น หากคุณมีงบโฆษณาออนไลน์จำกัด ก็ควรที่จะเอาเงินลงไปในส่วนนี้ก่อน
- Lookalike Audience คือกลุ่มคนที่มีความคล้ายกลุ่มคนที่เป็น Custom Audience
ทั้งหมดนี้คือคำตอบของคำถามที่ว่า 1. “จะเริ่มทำออนไลน์ต้องเริ่มยังไง?” ก็คือเริ่มทำความรู้จักและทำความใจเกี่ยวกับโฆษณาออนไลน์ทั้งสองประเภทนี้ ว่ามีอะไรบ้าง เหมาะสำหรับธุรกิจของคุณในมุมไหน 2. “ทำโฆษณาGoogle หรือ ทำโฆษณาFacebook อันไหนดีกว่ากัน?” ซึ่งในยุคปัจจุบันเราแนะนำให้คุณทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป โดยแบ่งสัดส่วนประเภทธุรกิจที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้น ที่สำคัญที่สุดคือการวัดผลทุกแคมเปญที่ทำ เพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนาการทำโฆษณาออนไลน์ของคุณได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่างน้อยที่สุดการวัดผลโฆษณาออนไลน์จะช่วยตอบคำถามนี้ได้ดีว่า “ทำ Google Ads หรือ Facebook Ads ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ”
สำหรับผู้ประกอบการหรือนักการตลาดออนไลน์สนใจการทำโฆษณาไลน์ ที่ครอบคลุมทุกช่องทาง ไปพร้อม ๆ กับการสอบถามและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการทำโฆษณาออนไลน์ กว่า 10 ปีของ Readyplanet เราขอแนะนำบริการ AdPro Dynamic บริการโฆษณาออนไลน์ ที่เชี่ยวชาญด้าน Optimization และ Automation