คัมภีร์การทำโฆษณา Facebook Ads เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่

เปิดคัมภีร์การทำโฆษณา Facebook Ads เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่

1. สร้าง Audience ที่ใช่ให้กับธุรกิจ

จริงที่ว่าการทำโฆษณา Facebook และกำหนดกลุ่มเป้ายหมายแบบปกติ เช่น อายุ พื้นที่ ความสนใจ นั้นเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปแล้ว ถึงเวลาที่คุณควรหา Target Audience ที่ใช่จริง ๆ และเพิ่มโอกาสให้ได้ลูกค้าจริง ๆ มากขึ้น โดยขอแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก นั่นคือการทำ Custom Audience และ Lookalike Audience นั่นเอง โดยมีหลักการทำงานจากอัลกอริทึ่มในเฟซบุ๊กที่จะทำการค้นหา Audience ที่ใช่จากการสร้างข้อมูลใน Data Base ของเรานั่นเอง 

• Custom Audience คือ กลุ่มเป้าหมายที่เคยมี Reaction (ปฏิสัมพันธ์) กับสินค้าหรือบริการ รู้จักแบรนด์อยู่แล้ว และได้มีการคลิกโฆษณา หรือคลิกสั่งซื้อ รวมถึงเคยมีส่วนร่วมกับโพสต์นั้น ๆ บนหน้าเพจ ดังนั้นแบรนด์จะมีข้อมูลของลูกค้าอยู่ เช่น ชื่อ เบอร์ติดต่อหรืออีเมล การทำ Custom Audience จึงเป็นวิธีการที่ช่วยเพิ่มแนวโน้มให้คนเหล่านี้กลับมาซื้อสินค้าของคุณได้นั่นเอง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายกว้าง ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะสนใจหรือคลิกโฆษณาหรือไม่ ย่อมได้ผลดีกว่าและผลลัพธ์คุ้มค่ากับงบโฆษณาด้วย

• Lookalike Audience คือ กลุ่มเป้ายหมายที่เราทำการ Lookalike ออกมาจากกลุ่มเป้าหมายที่เรามีและเคยปิดการขายได้แล้ว เช่น กลุ่มคนที่เคยคลิกซื้อสินค้าหรือบริการภายใน 1 เดือนก่อนหน้านี้ และ Facebook จะทำการหากลุ่มคนที่คล้ายคลึงกับลูกค้าของเรา 1% เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสที่เขาจะสนใจแบรนด์และนำไปสู่การมีส่วนร่วม คลิกดูรายละเอียด และคลิกสั่งซื้อในที่สุด จึงเป็นการเข้าถึงกลุ่มใหม่ ๆ และช่วยเพิ่มฐานลูกค้าให้กับธุรกิจ

   

2. เพิ่ม Engagments ด้วย Content ที่มีคุณภาพ

หลังจากเราได้กลุ่มเป้าหมายที่ใช่แล้ว แน่นอนว่าควรทำให้แบรนด์ให้โดดเด่นและชัดเจนกว่าคู่แข่ง ดังนั้นการทำให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับสินค้าหรือบริการเป็นอีกเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง จากประสบการณ์การยิงโฆษณา หลายคนอาจเคยเจอโพสต์ที่มีแต่คนกดไลก์ แต่ไม่คลิกสั่งซื้อ ไม่มีคอมเมนต์หรือแม้แต่แชร์ไปยังหน้าเฟซบุ๊กของตัวเอง ลองถอยมาตั้งหลักและปรับ Content ก่อนว่า สิ่งที่แบรนด์กำลังสื่อสารออกไป น่าสนใจกับกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มคนที่อาจเป็นลูกค้าหรือไม่ ข้อความในภาพควรสั้น กระชับ ได้ใจความ จัดวางภาพสินค้าให้เห็นชัดเจน เช่น หากคุณต้องการพรีเซ้นต์ “กระเป๋า” ภาพที่ใช้ไม่ควรเป็นนางแบบที่เห็นทั้งตัว ซึ่งทำให้คนโฟกัสภาพรวมและเสื้อผ้า ควรเลือกใช้ภาพถ่ายที่เห็นวัสดุและคุณภาพอย่างชัดเจน เป็นต้น หรือโปรโมชันที่ดึงดูดใจมากพอที่จะทำให้คนหยุดดูโฆษณาและคลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้

3. อย่าลืมใส่ลิงก์ไปยังสินค้า เพิ่มโอกาสในการขาย

หากกลุ่มเป้าหมายของคุณเริ่มสนใจสินค้าแล้ว สิ่งต่อไปที่ควรทำคืออะไร? นั่นคือการช่วยเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าในอนาคตคลิกไปยังแพลตฟอร์มที่มีรายละเอียด หรือคลิกไปยังหน้าสินค้าบนเว็บไซต์ธุรกิจ การใส่ลิงก์บนหน้าโฆษณาจึงสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าปลายทางจะพาไป Line OA หรือหน้าเว็บไซต์ก็ตาม เมื่อไหร่ที่มีการคลิกไปยังสินค้า นั่นแปลว่าเราพอจะทราบ Customer Journey ของลูกค้าแล้วว่า คลิกมาจากสินค้าหรือบริการใด มีความสนใจสินค้าไหนมากเป็นพิเศษ รวมถึงหลักจากคลิกมาที่หน้าเว็บไซต์แล้วทำ Action ใดต่อ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแปลกด้วย หากกลุ่มเป้าหมายของคุณคลิกดูสินค้าที่หน้าเว็บไซต์และกลับออกไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะกดสั่งซื้อ ในส่วนนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร Readyplanet จะอธิบายให้ฟังในขั้นตอนถัด ๆ ไป 

4. สร้างความน่าเชื่อถือ ด้วยรีวิวจากลูกค้า

มีข้อมูลระบุว่าผู้บริโภคนิยมค้นหาข้อมูลทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ค้นหาสินค้าบน YouTube และใช้ Google ในการค้นหารีวิวสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ เฉลี่ย 1 ใน 5 ของลูกค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นการค้นหาจากรีวิวผ่านออนไลน์ และ 1 ใน 5 คนยังคงค้นหาข้อมูลแม้ว่าจะอยู่หน้าร้านแล้วก็ตาม *(อ้างอิง : Google “Year in Search Thailand: Insights for Brands 2020 Report” เห็นได้ชัดแม้ว่าแบรนด์จะพูดหรือโฆษณาว่าสินค้าดีมีคุณภาพขนาดไหน ในที่สุดแล้วกลุ่มคนที่จะมาเลือกซื้อย่อมอยากได้ความเห็นจริง ๆ จากลูกค้าที่เป็นผู้ใช้งานจริงมากกว่า ดังนั้นอย่าลืมหมั่นดูรีวิวในแต่ละแพลตฟอร์มของแบรนด์ด้วยว่า ลูกค้าได้รับความพึงพอใจและมีในส่วนไหนที่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือไม่ 

5. Remarketing ซ้ำ ย้ำให้กลับมาซื้อ

นอกจากรายละเอียดข้างต้นที่กล่าวไปแล้วนั้น การทำ Remarketing ถือว่าเป็นอีกส่วนสำคัญไม่แพ้กันเลยทีเดียว เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็นสินค้าของแบรนด์คุณแล้วจะตัดสินใจคลิกสั่งซื้อตั้งแต่ครั้งแรก การทำ Remarketing จึงช่วยแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ยกตัวอย่างในกรณีที่เว็บไซต์ของคุณขายสินค้า เสื้อยืดสกรีนลาย ที่ทำโฆษณาผ่าน Facebook และยังมีให้คลิกสั่งซื้อทางเว็บไซต์ในรูปแบบขายส่ง กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจและคลิกไปยังเว็บไซต์ จากนั้นยังตัดสินใจไม่ได้แม้จะเลือกแบบเสื้อไปแล้วก็ตาม การทำ Remarketing ให้คนเหล่านี้กลับมาด้วยการส่งโฆษณาแบบปรับแต่งตามความสนใจจึงเป็นคำตอบ หากมีโฆษณาแบบอัจฉริยะที่ปรับแต่งให้เหมาะสมตามแต่ละบุคคลได้ อย่าง R-Dynamic ระบบโฆษณา Dynamic Retargeting ที่ช่วยสร้างโฆษณาติดตามผู้ที่เคยเข้ามาเว็บไซต์รายบุคคลแบบอัตโนมัติ กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อหรือติดต่อได้เร็วขึ้น และเมื่อใช้ควบคู่กับการทำโฆษณาออนไลน์ สามารถช่วยเพิ่ม CTR ของ Display Ads และ Social Ads ได้ถึง 150-300% การทำ Remarketing แบบ Personalize จึงเปรียบเหมือนออฟชั่นเสริมของการทำโฆษณาออนไลน์ยุคนี้ 

จากเทคนิคที่ Readyplanet ได้หยิบยกมาช่วยในการทำโฆษณา Facebook ให้แบรนด์สร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ นั้น บางธุรกิจพบว่าเกิดปัญหาในเรื่องของการวางกลยุทธ์หรือปัญหาในการหันมาทำออนไลน์แบบเต็มรูปแบบ เพราะยุคนี้ไม่ใช่การแบ่งฝั่ง Online กับ Offline ออกจากกันอีกต่อไป แต่เป็นการมองภาพรวมและวางแผนธุรกิจเพื่อประเมินว่าควรจัดสรรงบโฆษณาหรือลงทุนไปกับแพลตฟอร์มใดให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่า ดังนั้นลองมาดูปัญหาที่พบบ่อย ๆ ในการทำโฆษณาพร้อมวิธีรับมือกัน

ปัญหา 1 : แบรนด์มีงบจำกัด ทำทุกอย่างที่พูดมาเลยจะไหวหรอ?

ตอบ : จากประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนานของเรา และด้วยลูกค้า SMEs ระดับเล็กไปจนถึงระดับกลาง ย่อมเข้าใจได้เป็นอย่างดี ธุรกิจหลากหลายประเภทที่มีปัญหานี้ เราอยากให้คุณมองภาพรวมและวางแผนของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำตามแบรนด์อื่น ๆ แต่เลือกใช้งบที่มีอย่างจำกัดให้เหมาะสม เช่น มีธุรกิจขายอุปกรณ์เบเกอร์รี่อยู่แล้ว แต่แบรนด์ของคุณยังไม่เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์เท่าที่ควร และเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งยิ่งพบว่าควรปรับการนำเสนอภาพให้น่าสนใจมากขึ้น แต่ยุคนี้การจ้าง Influencers มาแรงมากด้วย การใช้งบประมาณอาจแบ่งเป็น 

• Production ในการถ่ายภาพอุปกรณ์หรือภาพสินค้าให้สวยงาม ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ หรือดีกว่าคู่แข่ง

• Budget ในการทำโฆษณา โดยอาจแบ่งมาใช้กับ Facebook Ads และ Google Ads ก่อนเพื่อประเมินว่า Cost Per Result จากช่องทางใดคุ้มค่ามากกว่ากัน โดยไม่ต้องรีบร้อนทำทุกช่องทาง และเลือกที่เหมาะสมกับแบรนด์และงบประมาณ หลังจากแบรนด์เริ่มแข็งแกร่ง การใช้ Influencers โปรโมตอาจเป็นขั้นตอนต่อไป เป็นต้น

ปัญหา 2 : ไม่มีเวลาทำคอนเทนต์บนหน้าเพจหรือเว็บไซต์ ออกแบบภาพไม่ได้?

ตอบ : จริง ๆ แล้วหากคุณไม่มีเวลาทำเว็บไซต์หรือยากเกินไปเลยไม่อยากทำ หากคุณเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ อาจจะมีกำลังทรัพย์ในการจ้างบริษัทที่รับออกแบบเว็บไซต์และดูแลเรื่อง Graphic Design ต้องเขียน Code ต่าง ๆ ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ในราคาค่าจ้างที่สูงมาก ๆ เป็นหลักหมื่นบาท ซึ่งจริง ๆ แล้วปัจจุบันการทำเว็บไซต์นั้นง่ายขึ้นมากและคุณก็สามารถทำเว็บไซต์ได้เอง ลองใช้ตัวเลือกอย่าง R-Web แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ ที่มาพร้อมเครื่องมือการตลาดแบบ All-in-One ของ Readyplanet ที่จะช่วยให้คุณออกแบบเว็บไซต์ได้ง่าย ๆ แค่เลือกรูปแบบที่ต้องการ อัปโหลดรูปภาพ ใส่ข้อความ และแสดงผลจริงได้ทันที ทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนอีกด้วย ซึ่งคุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมและลองเปรียบเทียบดูว่า แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์กับการจ้างบริษัทเขียนเว็บแตกต่างกันอย่างไร ได้โดย คลิกที่นี่

ปัญหา 3 : ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโฆษณา

ตอบ : หากยังรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ได้แม้จะลองทำความเข้าใจและศึกษามาเบื้องต้นแล้ว แต่เฟซบุ๊กและโลก Digital ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทำให้ยากที่จะโฟกัสและทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ของโฆษณาเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นข้อความ/ภาพที่ไม่ควรใช้ในโฆษณาเกี่ยวกับคลินิกความสวยความงาม เป็นต้น หรือแม้แต่การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่าสร้างโฆษณาแบบ Engagement Post ในส่วนนี้ลองหาบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์หลากหลายประเภทธุรกิจ ที่คอยให้คำแนะนำและวางแผนโฆษณาให้กับแบรนด์ของคุณได้ (Readyplanet ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ บริการรับทำโฆษณาออนไลน์)

ปัญหา 4 : ไม่มีเครื่องมือที่ช่วยบอกผลลัพธ์การทำโฆษณา

ตอบ : มีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ทำโฆษณา ใช้งบในการยิงแอด ทำ Content สร้างเว็บไซต์ที่สวยงาม แต่หลังจากนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่บอกได้อย่างชัดเจนว่า โฆษณาได้ผลหรือไม่? แต่ไม่ต้องห่วงถ้าหากมี AdPro Dynamic - Facebook ที่มาพร้อมเครื่องมือ R-Widget ปุ่มติดต่ออัจฉริยะสำหรับเว็บยุคใหม่ คิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Readyplanet นั่นคือปุ่มรวมทุกช่องทางการติดต่อ เพื่อไม่ให้ลูกค้าของคุณพลาดการสื่อสารกับแบรนด์ในทุกช่องทาง ติดตั้งฟรีและสามารถสนทนาผ่านหน้าเว็บไซต์ได้เลย และยังสามารถวัดผลโฆษณาออนไลน์ได้อีกด้วย ดังนั้นอย่าลืมมองหาเครื่องมือที่ช่วยเก็บข้อมูล พร้อมวัดผล เพื่อให้คุณวางแผนและคาดการณ์ผลประกอบการที่เกิดขึ้น

ปัญหา 5 : มุ่งแต่ออนไลน์ จนลืมออฟไลน์

ตอบ : ปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกการตลาดออนไลน์ในยุคนี้สำคัญมาก แต่หากธุรกิจของคุณมีในส่วนออฟไลน์ด้วย อย่าละเลยไปเด็ดขาด แต่ควรวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกันทั้ง 2 ส่วน ยกตัวอย่างเช่น มีธุรกิจร้านอาหาร ลูกค้าย่อมต้องไปหน้าร้านเป็นธรรมดา เมื่อเริ่มหันมาทำออนไลน์ด้วยการสร้างโปรไฟล์ผ่านเว็บไซต์ธุรกิจ เปิดระบบจองโต๊ะบนหน้าเว็บไซต์ หรือสั่งอาหารแบบ Delivery ได้แล้ว ยังสามารถนำแพลตฟอร์มการโฆษณาออนไลน์มาใช้เพื่อ Drive คนไปยังหน้าร้านได้ด้วย กล่าวคือ หากต้องการกระตุ้นลูกค้าให้มาซื้อสินค้าหน้าร้าน ลองยิงโฆษณาทางเฟซบุ๊กเพื่อแจกส่วนลดพิเศษ เฉพาะลูกค้าที่ไปทานที่ร้านเท่านั้น ได้ลด 15% เป็นต้น หรือแม้แต่การสร้าง Location เพื่อให้สอดคล้องกับ Journey ของผู้บริโภคที่ชอบค้นหาสถานที่ผ่าน Google อยู่เสมอ

ทั้งหมดนี้คือกรณีตัวอย่างที่เราหยิบยกขึ้นมาพร้อมแนวทางในการแก้ไขปัญหา แม้จะมีคัมภีร์ระดับปรมาจารย์แค่ไหน แต่หากหยุดนิ่งหรือเลิกติดตามโลกออนไลน์ ย่อมเท่ากับคุณเปิดทางให้คู่แข่งของคุณแซงหน้าแล้ว ดังนั้นอย่าหยุดอัปเดต และสร้างการจดจำ จุดขาย วางแผนการตลาดแบบเชิงรุกให้ไปหาคนที่ใช่จริง ๆ ซึ่งหากคุณรู้สึกว่าการทำโฆษณาออนไลน์ หรือทำโฆษณาเฟซบุ๊กมีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก และไม่มีเวลาโฟกัสมากเท่าที่ควร การใช้บริการ AdPro Dynamic - Facebook จาก Readyplanet ยังเป็นอีกทางเลือก เป็นบริการที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์ โปรโมตสินค้า/บริการ หากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และขยายธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่า ทางเรามีทีม Advertising Specialist ที่มากด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี ที่จะบริหารจัดการแคมเปญโฆษณาของคุณ ตั้งแต่เริ่มวิเคราะห์ วางแผน ให้คำปรึกษา และพัฒนาประสิทธิภาพของแคมเปญอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จบน Facebook