7 เทคนิควิธีขายของออนไลน์และการทำธุรกิจออนไลน์ให้เหนือคู่แข่ง

การทำธุรกิจหรือการขายของออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่าย อันเนื่องมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปย้ายเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ไม่ว่าธุรกิจใด เก่าหรือใหม่แค่ไหนในโลกของธุรกิจออฟไลน์ ก็ล้วนต้องพาตัวเองเข้ามาให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายเจอะเจอทำความรู้จักกันใหม่บนโลกออนไลน์ทั้งนั้น 

 

จากข้อมูลของ Priceza ได้เผยถึงพฤติกรรมการจับจ่ายและการซื้อของผู้บริโภคและร้านค้าในปี 2563 ที่ผ่านมาว่า ในแง่ของ B2C และ C2C E-Commerce มีแนวโน้วเติบโตขึ้นถึง 35% กล่าวคือเติบโตขึ้นจาก 163,300 ล้านบาทเมื่อปี 2563 เป็น 220,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดปี 2563

 

ในช่วงล็อคดาวน์ ยิ่งเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ชัดว่า สินค้าอุปโภคบริโภคมีอัตราการซื้อขายสูงเป็นอันดับต้น ๆ  แต่เมื่อผ่านช่วงล็อคดาวน์ไปแล้วนั้น อัตราของการซื้อของออนไลน์กับไม่ได้ลดลงไปเลย นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคเคยชินและชอบความสะดวกสบายใหม่นี้และไม่อยากกลับไปซื้อสินค้าในรูปแบบไปซื้อเองแล้ว” (ที่มา moneyhub.in.th)

 

สิ่งที่ตามมาก็คือ “การแข่งขันที่ดุเดือดกันมากขึ้นบนโลกออนไลน์ในปีนี้” เพราะไม่ใช่แค่การพาธุรกิจหรือสินค้าของคุณไปเจอกับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าตัวจริงของคุณเท่านั้น แต่โจทย์ที่ยากที่สุดของการทำธุรกิจหรือขายของออนไลน์คือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าเลือกคุณ? เพราะอย่างที่กล่าวมาว่า เมื่อมีการแข่งขันที่สูงขึ้น นั่นก็เท่ากับว่าลูกค้าของคุณมีตัวเลือกมากขึ้นด้วยเช่นกัน

Readyplanet ขอแนะนำ 7 เทคนิควิธีขายของออนไลน์และการทำธุรกิจออนไลน์ให้เหนือคู่แข่งมาให้คุณได้นำไปปรับใช้ดังต่อไปนี้

1. สร้างจุดเด่นและพัฒนาสินค้าของคุณให้เหนือคู่แข่ง

เพราะการขายของออนไลน์หรือขายสินค้าและบริการใด ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น หัวใจสำคัญคือการรู้จุดขายจุดแข็งของสินค้า แต่ถ้าคุณอยากจะเหนือกว่าคู่แข่งและเอาชนะใจจนลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณแล้วล่ะก็ คุณก็ต้องทำการบ้านเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย


หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า Unique Selling Point (Product USP) แปลง่าย ๆ ตามความหมายก็คือ จุดขายเฉพาะตัวของสินค้าคุณ ซึ่งคำว่าเฉพาะตัวนี้มีนัยยะที่คุณต้องคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนในคำถามที่ว่า “ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้านี้ของคุณ?” ทั้งในมิติของ ราคา, จุดเด่นจุดขายของสินค้า, คุณประโยชน์ที่จะตอบโจทย์กับปัญหาหรือความต้องการของลูกค้า (ที่เหนือกว่าคู่แข่ง) เราขอเน้นแรง ๆ ตรงคำที่ว่าเหนือกว่าคู่แข่ง 


เพราะหากคุณคิด Product USP ออกมาแล้ว แต่พอมาเทียบกับคู่แข่งในตลาดและปรากฎว่าสิ่งนั้นไม่ได้เหนือหรือแตกต่างจากคู่แข่งเลย สิ่งนั้นก็จะไม่ใช่ Unique Selling Point ที่แท้จริง

ฉะนั้นส่วนผสมที่ดีของ Unique Selling Point ในมุมของเราที่จะช่วยทำให้วิธีขายของออนไลน์เหนือกว่าคู่แข่งของคุณก็คือ 

 

ประโยชน์ของการสร้าง Unique Selling Point หรือ (Product USP) ให้สินค้าของคุณนั้น นอกจากจะสามารถนำมาใช้สร้าง Content Marketing สำหรับสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ตรงใจมากขึ้น ผ่านการทำโฆษณาออนไลน์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นไอเดียสร้างสรรค์ในการทำแคมเปญการตลาดหรือทำ Branding ให้กับธุรกิจได้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การขายของออนไลน์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน

 

2. สร้างช่องทางการขายของออนไลน์ที่หลากหลายและคลอบคลุม 


ไม่ว่าจะทำธุรกิจในยุคไหน ๆ การมีช่องทางการขายที่มากกว่าหนึ่งย่อมดีกว่าเสมอ ​วิธีขายของออนไลน์ก็เช่นกัน หลายคนมักจะเลือกพึ่งพาช่องทาง Social Media แค่เพียงอย่างเดียว และก็มักจะพบปัญหาเมื่อแต่ละแพลตฟอร์มเกิดการปรับเปลี่ยนแก้ไขระบบอัลกอริทึ่ม จนนำมาซึ่งการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือขายที่ยากมากขึ้น ดังนั้นการมีช่องทางสำหรับขายของออนไลน์ที่หลากหลายและคลอบคลุมมากขึ้น ทั้ง Website, Social Media และ E-Marketplace จึงเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจพึงกระทำในปีนี้  เพราะนอกจากจะเพิ่มทางเลือกแก่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้สามารถเข้าถึงสินค้าของคุณให้ได้มากขึ้นแล้ว ในมุมของ Readyplanet ที่เป็นผู้ให้บริการรับทำโฆษณาออนไลน์ที่ได้รับการไว้วางใจจากลูกค้าจำนวนมาก และด้วยความชำนาญพร้อมกับประสบการณ์การทำโฆษณาออนไลน์มาอย่างยาวนาน จึงสามารถมองเห็นปัจจัยในความสำเร็จของการทำธุรกิจออนไลน์และการทำโฆษณาออนไลน์ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยนั้นก็คือการทำโฆษณาโดยเชื่อมโยงช่องทางการขายของออนไลน์ในหลาย ๆ แพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น


2.1 Website : แม้ว่าการมีเว็บไซต์ของตัวเองจะไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้เอง แต่คุณก็สามารถใช้ Google Ads หรือช่องทางของการทำโฆษณาบน Facebook Page ช่วยดึงกลุ่มเป้าหมายของคุณเข้ามายังเว็บไซต์ได้เช่นกัน และเมื่อมีกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะกลายเป็นลูกค้าของคุณได้ในอนาคต เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณแล้วแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อบนเว็บไซต์ ก็สามารถทำ Retargeting Ads หรือ Dynamic Retargeting Ads ให้นำโฆษณาไปติดตามและกระตุ้นเตือนกลุ่มคนที่เคยเข้าชมสินค้าบนเว็บไซต์ของคุณให้กลับมาสินค้าของคุณอีกครั้ง ดังภาพ

 

 2.2 Social Media : เช่น Facebook, IG หรือ Line ข้อดีของการใช้ช่องทางการขายของออนไลน์ผ่านโซเชี่ยลมีเดียก็คือ คุณจะได้ Traffic จากคนจำนวนมากที่อยู่ในแต่ละแพลตฟอร์ม สามารถทำโฆษณาและนำกลุ่มเป้าหมายมาปิดการขายในแพลตฟอร์มได้เลยทันที ด้วย Facebook Messenger, Direct Messenger ใน Intragram หรือแม้กระทั้งใน Line Official Account และข้อดีอีกประการของการขายของออนไลน์หรือทำโฆษณาออนไลน์ผ่าน Facebook ก็คือคุณสามารถทำโฆษณาจาก Facebook ข้ามไปแสดงยัง Intragram ได้อีกด้วย

 

 

2.3 E-Marketplace : จุดเด่นที่เป็นข้อดีของการสร้างช่องการขายของออนไลน์ทางผ่านแพลตฟอร์มของ E- Marketplace ก็คือช่วยเพิ่มการรับรู้สินค้าและบริการของคุณได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาออนไลน์ แต่คุณอาจจะต้องแลกด้วยค่า Commission ในการขายสินค้าเพื่อแลกกับพื้นที่โปรโมทร้านและสินค้าของคุณบนแพลตฟอร์มนั้น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการขายของคุณ

 

 

และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายของออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดของคุณ ที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกช่องทางการขาย ทั้งจากเว็บไซต์และ Facebook Page หรือ Intragram ด้วย AdPro Dynamic บริการรับทำโฆษณาออนไลน์ แบบเน้นผลลัพธ์ ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ เพิ่มลูกค้าใหม่ เปลี่ยนยอดคลิก ให้กลายเป็นยอดขายได้มากขึ้น ครอบคลุมทุกช่องทางครบในที่เดียว ทั้ง Google Search, Google Display Network (GDN), Facebook, Instagram และ Retargeting เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต และมีลูกค้าเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญ กับเทคโนโลยี AI อัจฉริยะ และเครื่องมือ Marketing Tech ใหม่ล่าสุดของเรดดี้แพลนเน็ต

 

3. ส่งเสริมการขายของออนไลน์ด้วยโปรโมชั่นให้ถูกใจกับกลุ่มเป้าหมาย


พอกล่าวถึงโปรโมชั่น หลายคนชอบคิดถึงการลดราคาทั้งในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์ส่วนลดต่าง ๆ 20%, 50%, มากกว่า50% หรือการซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การทำโปรโมชั่นนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการลด-แลก-แจก-แถม แม้กระทั่งการเหมาค่าจัดส่งราคาเดียวหรือฟรีค่าจัดส่ง และบ่อยครั้งคุณก็อาจจะได้เห็นกลยุทธ์นาทีทองหรือการจำกัดจำนวน ซึ่งสิ่งสำคัญในการทำโปรโมชั่นนั้น ไม่ใช่แค่เพียงการลด-แลก-แจก-แถมให้ได้มากที่สุด แต่คือการทำโปรโมชั่นให้ตรงใจลูกค้าต่างหากที่จะช่วยเพิ่มยอดขายของออนไลน์ให้คุณได้!

 

แล้วจะทำอย่างไรให้รู้ว่าโปรโมชั่นไหนจะโดนใจหรือถูกใจกับกลุ่มเป้าหมาย?


Readyplanet อยากแนะนำให้คุณทำความเข้าใจว่าการทำโปรโมชั่นก็เหมือนกับการทำ Content Online ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าลูกค้าคุณชอบ Content อะไร Creative แบบไหน คุณก็ต้องทดลอง วัดผลและวิเคราะห์โปรโมชั่นหรือ Content ที่ทำไปในแต่ละครั้งว่าอะไรแบบไหนที่เกิดผลลัพธ์ดีที่สุด ตรงใจลูกค้าและเกิดยอดขายดีที่สุด ซึ่งถ้าหากคุณมีข้อมูลที่เป็น Insights ของลูกค้าจำนวนมากพอ บวกกับการวิเคราะห์การตลาดออนไลน์ที่แม่นยำ พร้อมกับการทำโฆษณาออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพได้แล้วล่ะก็ การทำโปรโมชั่นได้ถูกใจและตรงกลุ่มเป้าหมายของคุณ ก็จะประสบความสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

4. ตอบและแก้ไขปัญหาลูกค้าได้ทันท่วงที ด้วย Call Center หรือช่องทางแชท 


ในยุคออนไลน์ที่เหล่าผู้บริโภคชื่นชอบความรวดเร็ว ความต้องการหรือระยะเวลาในการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าอะไรมักจะต้องการความรวดเร็วทันใจเสมอ เพราะหากคุณช้าไปเพียงไม่กี่นาที ลูกค้าของคุณก็อาจจะไปเจอสินค้าเดียวกันแต่เป็นร้านค้าของคู่แข่งของคุณก็เป็นได้ ยิ่งถ้าราคาดีกว่าหรือโปรโมชั่นคุ้มค่ากว่า ลูกค้าของคุณก็อาจจะเปลี่ยนใจไปจากคุณได้ทันที  ฉะนั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างร้านค้ากับลูกค้าที่รวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรให้ความสำคัญ

 

 ภาพจาก: https://business.facebook.com/

 

นอกจากนั้น การสื่อสารของคุณกับลูกค้าในขณะที่แชทผ่านเครื่องมือสื่อสารไม่ว่าจะเป็น Facebok , Line, Intragram หรือแม้กระทั้งโปรแกรมแชทบนเว็บไซต์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความประทับใจในการบริการของธุรกิจหรือร้านค้าของคุณได้อีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าคุณจะขายของออนไลน์บนแพลตฟอร์มใด ก็ควรมีระบบ Chat เพื่อให้ลูกค้าได้สอบถามข้อสงสัย หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า โดย Readyplanet มีบทความดี ๆ เกี่ยวกับ 7 เทคนิคตอบแชทลูกค้ายังไงให้ปิดการขายได้มากขึ้น อ่านเพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่

 



สำหรับเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ยังไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถแชทโต้ตอบกับลูกค้าได้  Readyplanet ได้พัฒนา Chatday แพลตฟอร์มบริหารแชททุกช่องทางในที่เดียว ที่เป็นส่วนขยายของ ReadyPlanet Marketing Platform และสามารถติดตั้งได้ทันทีบนเว็บไซต์ของคุณ ผ่าน R-Widget ปุ่มติดต่ออัจฉริยะสำหรับเว็บยุคใหม่ สามารถติดตั้งง่ายบนเว็บไซต์ โดยเพิ่มปุ่มติดต่อช่องทางต่าง ๆ ทั้ง Facebook , Line, โทรศัพท์ หรือติดตั้ง Map สำหรับบอกตำแหน่งที่ตั้งสำนักงานของคุณได้อีกด้วย  

 

5. มีระบบจัดเก็บฐานข้อมูลลูกค้าที่ดี 


เพราะโลกของธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่อง Data หรือข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้า ซึ่งสามารถมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและความต้องการของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ มาปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาธุรกิจ ต่อยอดการทำการตลาดและขายให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และผลที่ตามก็คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง ฉะนั้นข้อมูลลูกค้าของคุณถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของธุรกิจ ฉะนั้นการมีระบบจัดเก็บฐานข้อมูลที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าหลายบริษัทจะถนัดเก็บข้อมูลลูกค้าลงใน Spreadsheet แต่ความเสถียรของการทำงานรวมถึงความปลอดภัยที่จะช่วยรักษาข้อมูลลูกค้าของคุณได้นั้นก็ยังมีไม่มากพอเมื่อเทียบกับระบบ CRM 

 

โดยระบบจัดเก็บฐานข้อมูลลูกค้าหรือระบบ CRM ในปัจจุบันไม่ใช่แค่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยคุณบริหารจัดการลูกค้า งานขายและการตลาดได้อีกด้วย 

 

 

ซึ่ง Readyplanet เองก็มีระบบ R-CRM แพลตฟอร์มบริหารทีมขาย ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจไทย ที่สามารถเป็นทั้งระบบจัดเก็บข้อมูลลูกค้า ระบบบริหารจัดการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เพราะสามารถกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของพนักงานหรือทีมงานแต่ละคนได้ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยให้คุณบริหารทีมขายให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย โดยฟีเจอร์ต่างๆ ของ R-CRM ที่มีประโยชน์สำหรับทุกธุรกิจออนไลน์ เราได้รวบรวมและสรุปไว้ในบทความ 5 เหตุผลดี ๆ ที่ธุรกิจควรใช้ R-CRM อ่านเพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่

 

 

6. วิเคราะห์ Customer Insights เพื่อพัฒนาธุรกิจ  


อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะได้เห็น Key Messages สำคัญของวิธีขายของออนไลน์และการทำธุรกิจออนไลน์ให้เหนือคู่แข่ง ตั้งแต่ต้นที่เรากล่าวมามีหลัก ๆ อยู่ 2 คำ คือ “วิเคราะห์” และข้อมูลลูกค้า, Insights ของลูกค้า 

 

ขอขยายความคำว่า ‘Insights ของลูกค้า’ หรือ ‘Customer Insights’ กันเสียก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ซึ่ง Customer Insights ในความหมายของเรานั้นหมายถึง ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าคุณ ที่ผ่านการวิเคราะห์และทำความเข้าใจจากข้อมูลลูกค้าของคุณในหลาย ๆ ด้าน อาทิ

 

  • ข้อมูลจาก Demographic (ชื่อ, เพศ, อายุ, ที่อยู่, อาชีพ, เบอร์โทร, อีเมล ฯลฯ)

 

  • ข้อมูลด้านBehavior หรือพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น ชอบเล่นมือถือ, เข้าโซเชี่ยลมีเดียวันละหลาย ๆ ครั้ง, เข้ามาดูสินค้าของคุณผ่านเว็บไซต์ก่อน แล้วเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมบน Facebook จากนั้นจึงตัดสินใจซื้อ เป็นต้น

 

  • ข้อมูลจาก Interest ความชอบความสนใจ เช่น ชอบเครื่องสำอางและแฟชั่น, มีความสนใจเรื่องสุขภาพเพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เป็นต้น

 

ซึ่งการจะสามารถเก็บข้อมูล Customer Insights เหล่านี้ได้มีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่

 

6.1 การเก็บข้อมูลจากกระแสหรือเทรนด์บน Social Media หรือเครื่องมือที่เปิดให้ใช้งานฟรีต่าง ๆ เช่น Google Trends ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลความชอบ ความสนใจแบบกว้างๆ ในช่วงขณะหนึ่ง เครื่องเหล่านี้อาจจะเหมาะสำหรับการมองหาสินค้าใหม่ ๆ สำหรับทำธุรกิจหรือการขายของออนไลน์ของคุณ

 

6.2 การเก็บข้อมูลจากการทำ Survey แบบสอบถาม ไม่ว่าจะทำแบบดั้งเดิมคือ แจกกระดาษให้ลูกค้าทำแบบสอบถาม, การโทรขอสัมภาษณ์หรือขอฟีดแบคจากลูกค้า หรือแม้กระทั่งการส่งแบบสอบถามออนไลน์จาก Google Form, แบบสอบถามจาก Facebook หรือ Youtube ที่เราได้เห็นกันบ่อยๆ 

 

ข้อควรระวังในการแบบสอบถามก็คือ “การตั้งคำถาม” เพราะหลายครั้งของการทำแบบสอบถามหรือแบบสำรวจความพึงพอใจต่าง ๆ ที่พอได้ข้อมูลมาปรับใช้จริง กลับได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีขึ้น หรือถ้าแย่ไปกว่านั้นก็คือ ไม่รู้จะใช้ประโยชน์อะไรจากข้อมูลที่ได้มา นั่นอาจจะเป็นเพราะการตั้งถามที่ผิดพลาด ฉะนั้นเพื่อการทำแบบสอบถามหรือแบบสำรวจความพึงพอใจที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณควรตอบคำถามเหล่านี้ก่อนตั้งคำถามในแบบสอบถามก่อน ดังนี้

 

  • วัตถุประสงค์ของการทำแบบสอบถามนี้คืออะไร?

 

  • คำตอบของลูกค้าที่ได้จากผลสำรวจหรือแบบสอบถามนี้ คุณจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร?

 

  • ถ้าลูกค้าของคุณมีจำนวนมากและหลากหลาย ใครคือคนที่คุณอยากถาม?

 

  • ภาษาและคำถามที่จะใช้มีความชัดเจน ตรงประเด็นและเข้าใจตรงกันใช่หรือไม่? และหมายรวมไปถึงคำตอบที่จะให้ลูกค้าเลือกด้วย หากกว้างมากไปหรือไม่ครอบคลุม คำตอบที่ได้จากลูกค้าก็อาจคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน

 

6.3 การเก็บข้อมูลจากฐานข้อมูลลูกค้าเก่าของบริษัทคุณ อาทิ ข้อมูลลูกค้าจากไฟล์ Spreadsheet, หรือแม้กระทั้งในระบบ CRM ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้อาจจะได้ข้อมูลในเชิง Demographic (ชื่อ, เพศ, อายุ, ที่อยู่, อาชีพ, เบอร์โทร, อีเมล ฯลฯ) ของลูกค้า ส่วนในระบบ CRM ที่ดีที่สามารถลงขายละเอียดเชิงลึก เช่น สินค้าที่ลูกค้าซื้อซ้ำ ไม่ซื้อซ้ำ ปัญหาและความต้องการ (ที่พนักงานขายถามลูกค้าและใส่ข้อมูลไว้) เป็นต้น


และข้อมูลเชิงลึกอีกแหล่งที่คุณสามารถหาได้เมื่อคุณขายของออนไลน์และได้ทำโฆษณาออนไลน์ไปสักระยะหนึ่ง  Facebook Insight และ Google Analytics ก็เป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่จะช่วยแสดงข้อมูลพฤติกรรมและความชอบ ทั้งในมุมของสินค้า, โปรโมชั่น Creative Content ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการทำโฆษณาออนไลน์แบบใด เลือกกลุ่มเป้าหมายไหนที่ตัดสินใจซื้อสินค้าได้ดีที่สุด เป็นต้น

 


และ Readyplanet เองก็มี R-Insights หนึ่งในเครื่องมือภายใต้ R-CRM ที่ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติต่าง ๆ ที่เข้ามาในแพลตฟอร์ม R-CRM ได้อย่างถูกต้อง เป็นระบบและครบถ้วน สามารถแสดงรายงานผลเกี่ยวกับจำนวนยอดขายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้คุณและทีมขายอ่านผลลัพธ์ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น โดยแบ่งเป็นรายวัน รายเดือน หรือตามอื่น ๆ ที่กำหนด และสามารถกรองการแสดงผลสถิติเป็นตามช่วงเวลา (วันนี้, สัปดาห์นี้, เดือนที่แล้ว, ปีนี้ ) หรือจะเป็นแบ่ง รายบุคคล และรายทีมก็ได้ 

 

 

7. เปลี่ยนลูกค้าใหม่ให้เป็นลูกค้าประจำ 


ความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์ในระยะยาว คือ Life Time Value ของลูกค้าคุณ การทำให้ลูกค้านึกถึงคุณในทุก ๆ ครั้ง เมื่อมีความต้องการสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องของลูกค้า เป็นเรื่องที่หลายธุรกิจพยายามสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด เพราะเมื่อโลกในยุคปัจจุบันการมี Loyalty หรือความภักดีต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งในปัจจุบันนี้แทบไม่มีอยู่จริงแล้ว การทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำบ่อย ๆ จึงเป็นความท้าทายของการขายของออนไลน์ 


สิ่งง่าย รวดเร็วและได้ผลดีที่ Readyplanet มีประสบการณ์ที่ได้ทำให้เจ้าของธุรกิจและ SME กว่าหลายร้อยเจ้าในประเทศไทยพบว่า “การมีระบบสะสมแต้ม” หรือการมีคูปองส่วนลดเพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำในครั้งถัดไป เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีทีเดียว แต่ในยุคปัจจุบันที่เราก้าวไปในโลกของออนไลน์จนเกือบเต็มรูปแบบ หรือแม้กระทั้งช่วงที่ทั่วโลกเกิดโรคระบาด จะให้มานั่งแจกคูปองหรือการ์ดเพื่อสะสมแต้มก็คงไม่เวิร์คแน่ ๆ 

 

 

Readyplanet ขอแนะนำ PointSpot ระบบบัตรสมาชิกสะสมแต้มด้วยเบอร์โทร ที่สามารถให้แต้มลูกค้า, จัดการของรางวัล, สร้างคูปองโปรโมชั่น ที่ใช้งานง่ายที่สุด ไม่ต้องลงแอป ไม่ต้องพกบัตร ตอบโจทย์ธุรกิจยุคดิจิทัล พร้อมระบบคูปองโปรโมชั่น ช่วยกระตุ้นยอดขาย สร้างการซื้อซ้ำ ให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการบ่อยมากขึ้น 

 

แม้ว่าโลกของการทำธุรกิจหรือการขายของออนไลน์ในปีนี้จะดุเดือดและยากเข็นใจสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่ Readyplanet เชื่อว่าการปรับเปลี่ยน ปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจของคุณอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ดีและต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งโลกหมุนเร็วเท่าไหร่ เราทุกคนก็ต้องวิ่งตามโลกให้ทันเท่านั้น และนี่คือทั้งหมดของ 7 เทคนิควิธีขายของออนไลน์ที่นำมาอัปเดท เพื่อเป็นกลเม็ดเด็ด ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถทำธุรกิจออนไลน์ได้เหนือกว่าคู่แข่งจำนวนมากได้ในยุคปัจจุบัน

และหากคุณคือเจ้าของธุรกิจ SME หรือร้านค้าขายของออนไลน์ ที่ยังไม่มีอาวุธสำคัญอย่างเว็บไซต์ดี ๆ ที่เราได้กล่าวไปในเทคนิคที่ 2 Readyplanet ขอแนะนำ R-Web แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ ที่มาพร้อมเครื่องมือการตลาดแบบ All-in-One เพื่อให้ธุรกิจของคุณ ได้เพิ่มช่องทางขายผ่านออนไลน์ได้ง่าย ๆ อีกทั้งยังเป็นเสมือนฐานทัพที่กระจายกำลังของประสิทธิภาพการทำโฆษณาออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย 

 

R-Web เป็นมากกว่าแค่เว็บไซต์ ทรงพลังด้วยเครื่องมือการตลาดครบครัน
R-Web คือหนึ่งในเครื่องมือของ Readyplanet Marketing Platform ที่นอกจากจะทำเว็บไซต์ง่ายแล้ว ยังมาพร้อมเครื่องมือการตลาดแบบ All-in-One ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่วันแรก จนกลับมาซื้อซ้ำ และกลายเป็นลูกค้าประจำที่ผูกพันกับธุรกิจของคุณ
 

 

 Updated: 2 March 2021 | Produced by: Dujnapa Chauthamcharoen