Website Traffic คืออะไร เพิ่มอย่างไรให้ธุรกิจรอด ?

 

Website Traffic คือตัวชี้วัดในการทำเว็บไซต์ของคุณว่าได้คุณภาพและมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์มากขนาดไหน เมื่อสร้างหน้าเว็บธุรกิจเสร็จสมบูรณ์แล้วไม่ได้หมายความว่าธุรกิจจบเพียงเท่านั้น แต่ควรคำนึงถึงการทำ SEO และใช้ Traffic เป็นตัวชี้วัดเพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเว็บขายสินค้าหรือบริการ รวมถึงการทำ Blog Content เพื่อให้คนคลิกอ่านและเกิด Call-To-Action ต่อไป ยิ่งหากเป็น Traffic ที่เกิดจาก Organic Search ย่อมส่งผลดีต่อหน้าเว็บของคุณในระยะยาวได้อย่างแน่นอน Readyplanet จะมาอธิบายความสำคัญของการสร้าง Traffic และหลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์ว่าทำอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ 

 

Website Traffic คืออะไร?

 

อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น หากเปรียบเทียบว่าเว็บไซต์ของคุณคือหน้าร้านค้า การมีลูกค้าเข้าร้านอย่างสม่ำเสมอ หรือเดินเข้ามาซื้อสินค้าจำนวนมากย่อมส่งผลดีกับยอดขายและอาจเกิดการบอกต่อให้มาซื้อสินค้าซ้ำ สร้าง Loyalty Customer อีกด้วย สิ่งเหล่านี้จึงเปรียบได้กับ Traffic ของเว็บไซต์ที่ควร Optimized และวิเคราะห์ผ่านเครื่องมือ Google Analytics ให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ลองดูเทคนิคและวิธีการสร้าง Website Traffic เหล่านี้กัน
 

เริ่มต้นสร้าง Website Traffic อย่างไรดี?

 

 1. ให้ความสำคัญกับการทำ SEO

 

อันดับแรกที่ไม่ควรมองข้ามคือ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อช่วยให้ Google จัดอันดับเว็บไซต์ของคุณให้อยู่ในหน้าการค้นหาแรก ๆ และช่วยเพิ่มโอกาสคนเยี่ยมชมเว็บมากยิ่งขึ้น เทคนิคในการทำแคมเปญ SEO ให้มีคุณภาพนั้น ควรทำความเข้าใจเรื่อง Meta Tag ก่อน

 

Meta Tag คือข้อมูลที่บอกเกี่ยวกับเว็บไซต์นั้น ในรูปแบบของ HTML ซึ่งเครื่องมือจาก Google และ Web Crawlers จะทำการอ่านข้อมูลดังกล่าว และใช้ Meta Data ในการจัดอันดับ และแสดงผลเมื่อมีผู้ใช้งานเสิร์ชหาสิ่งที่เกี่ยวข้อง โดย Readyplanet ขอยกตัวอย่างหลัก ๆ ดังนี้

 


  •  Title Meta Tag : คือข้อมูลที่แสดงผลที่หน้า Search Engine (หน้าการค้นหา) หรือแสดงด้านบนสุดของเว็บบราวเซอร์ เช่น หัวข้อของหน้าบราวเซอร์เว็บไซต์ที่บอกว่าทำธุรกิจหรือบริการเกี่ยวกับอะไร เปรียบเทียบง่าย ๆ คือเป็นชื่อเรื่องภาพยนตร์ที่ให้คนตัดสินใจว่าเรื่องนี้น่าสนใจหรือตรงความต้องการหรือไม่ก่อนคลิกเข้าไปนั่นเอง

 

  •  Meta Description : เป็นคำอธิบายในส่วนต่อมาเพื่อบอกให้คนที่สนใจได้เข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น เปรียบเหมือนการปล่อย Teaser เพื่ออธิบายว่าภาพยนตร์นั้นมีอะไรบ้าง และคนที่เสิร์ชข้อมูลก็พิจารณาว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ค้นหาหรือไม่ ซึ่งควรอธิบายข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องใส่ลงไปใน Meta Tag ดังกล่าวเพื่อเพิ่มโอกาสการค้นหา และ CTR ให้สูงขึ้น

 

2. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย Google Ads

 

เป็นอีกทางเลือกสำหรับใครที่อยากเพิ่ม Website Traffic แบบมีค่าใช้จ่ายที่สามารถดึงคนเข้าหน้าเว็บไซต์ได้ วิธีนี้จะไม่ได้ Organic Search แต่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ได้ในระยะเวลาไม่นานและมีหลายรูปแบบโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ไม่ว่าจะเป็น

 

  • Google Display Network หรือ GDN : เป็นการสร้าง Brand Awareness โดยการทำโฆษณาแบบ GDN ที่เป็นการให้กลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณาในรูปแบบ Banner บนหน้าเว็บเครือข่ายกับ Google Partner หรือ Banner บน YouTube เป็นต้น โดยสามารถเลือกค่าใช้จ่ายต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง หรือ Cost Per 1,000 Impression และเลือกกลุ่ม Target ให้เห็นโฆษณาได้หลากหลาย แต่อย่างที่กล่าวว่าเน้นเรื่องของ Awareness จึงไม่ได้หมายความว่าจะได้ Traffic จากทุกการมองเห็น

 

  • Google Search หรือ SEM : เป็นการโฆษณาที่ค่อนข้างเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรง เพราะเป็นการแสดงผลที่ใกล้เคียงกับการค้นหา โดยระบบจะโชว์ผลการค้นหาให้ตรงกับคีย์เวิร์ดที่คนเหล่านั้นเสิร์ชบนหน้า Google ซึ่งการคิดเงินโฆษณารูปแบบนี้ คือ PPC หรือ Pay Per Clicks คือจ่ายค่าโฆษณาเมื่อคนคลิกลิงก์เข้าเว็บไซต์นั่นเอง และอย่าลืมรีเสิร์ชคีย์เวิร์ดให้เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์และค้นหา โดยใช้เครื่องมือ Google Keywords Planner 

 

3. เลือกใช้ Social Media ให้คุ้มค่า

 

การเพิ่ม Website Traffic ไม่จำเป็นต้องอยู่บนหน้า Search Engine เสมอไป โซเชียลมีเดียของธุรกิจเองสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการเพิ่มการเข้าถึงได้เช่นกัน แน่นอนว่ายุคนี้บางธุรกิจมีหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook, LINE OA, Instagram หรืออื่น ๆ แนะนำว่าควรหมั่นอัปเดตอย่างสม่ำเสมอและสร้าง Engagement (การมีส่วนร่วม) กับ Followers หรือผู้คนที่ติดตามด้วย Content ที่น่าสนใจ มีคุณภาพ และอย่าลืมเพิ่มลิงก์เว็บไซต์ด้วยคำที่จูงใจ ข้อเสนอสุดพิเศษ ที่สามารถจูงใจให้ผู้เยี่ยมชมแพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องการคลิกไปยังเว็บไซต์ของคุณ 

 

Content บน Social Media ในรูปแบบวิดิโอได้รับความนิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะฟรีแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, YouTube หรือ Live และล่าสุด Instagram ได้เพิ่มฟังก์ชัน Reels สามารถครีเอทวิดิโอสั้น ๆ และใส่เพลงลงไปได้คล้าย TikTok เลยทีเดียว อย่าลืมสร้างคอนเทนต์ที่หลากหลายและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแบรนด์ เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่ม Website Traffic ของคุณ

 

4. สร้างเนื้อหาที่ดีด้วย Blog Content

 


 จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมเสิร์ชหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ก็ตาม การสร้าง Blog Content ที่ช่วยอธิบายข้อมูลในส่วนนั้นย่อมเป็นเนื้อหาที่เกิดประโยชน์และช่วยแก้ปัญหาได้ ยกตัวอย่างเช่น มีคนต้องการเสิร์ชหาข้อมูลครีมกันแดดปี 2021 และเจอบทความเปรียบเทียบคุณสมบัติและราคาของครีมกันแดดทั้ง 5 ชนิด แน่นอนว่าอันดับแรกต้องมี Keywords สำคัญที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหาอยู่ใน Blog นั้น เมื่อผู้ใช้งานเจอเนื้อหาที่ใช่ย่อมช่วยเพิ่ม Website Traffic ที่มีคุณภาพให้กับเว็บของคุณได้เช่นกัน เมื่อระบบจับว่า Content นี้ได้คุณภาพ ก็มีโอกาสติดอันดับในหน้าแรก ๆ และได้ประโยชน์ในแง่ของ Organic Search ด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์อีกทางในเนื้อหา Blog Content หลังจากได้ Traffic เข้าไปที่เว็บไซต์ของคุณแล้ว สามารถเพิ่ม Call-To-Action เพื่อกระตุ้นการสั่งซื้อสินค้าหลังจากอ่านบทความนั้นจบได้อีกด้วย

 

5. เพิ่ม Traffic จาก Influencers



เป็นอีกวิธีหนึ่งที่หลาย ๆ แบรนด์นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มีผลการวิจัยระบุว่า “เมื่อพูดถึงคำแนะนำเกี่ยวกับแบรนด์ สินค้า หรือบริการใด ๆ ก็ตาม ผู้บริโภคยังคงให้ความไว้วางใจกับเพื่อน ครอบครัว และ Influencers มากกว่าแบรนด์สื่อสารเอง” *(อ้างอิงข้อมูลจาก businesswire.com)

 

61% เชื่อถือการแนะนำจากเพื่อน คนใกล้ชิด สมาชิกในครอบครัวหรือแม้แต่ Influencer บนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม ซึ่งมีเพียง 38% ที่เชื่อถือคำแนะนำจากแบรนด์ที่สื่อสารบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ *(อ้างอิงข้อมูลจาก businesswire.com)

 

ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือยุคที่ Influencers เป็นผู้มีอิทธิพลกับการตัดสินใจของลูกค้าค่อนข้างมาก ที่สำคัญแบรนด์ต้องทราบชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร ช่วงอายุเท่าไหร่ หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเลือก Influencer ที่ใช่บนแพลตฟอร์มที่ถูกต้อง เช่น หากแบรนด์ของคุณคือเครื่องสำอาง กลุ่มเป้าหมายอายุ 15-24 ปี ส่วนมากเป็นผู้หญิง ควรเลือก Beauty Blogger ที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นชื่นชอบและรีวิวเครื่องสำอางได้แบบน่าสนใจ พร้อมบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเชื่อถือ และแน่นอนว่าสินค้าหรือบริการของคุณต้องมีคุณภาพจริง ๆ ด้วย จากนั้นจบด้วยการ Tie-In Product ด้วยการใส่ลิงก์เว็บไซต์ของแบรนด์ที่แพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อให้ผู้ชมคลิกไปซื้อสินค้าได้

 

 6. สร้างความสัมพันธ์ด้วยการทำ E-mail Marketing

 


 การใช้ E-mail สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้ายังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายยังคงมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ ดึงดูดใจด้วยส่วนลดหรือข้อเสนอสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่นประจำเดือน เช่น 4.4 วันที่ 4 เดือน 4 สินค้าลดราคา 14% และลดสูงสุด 40% คลิกเลย! เป็นต้น โดยเลือกใช้ข้อความที่น่าสนใจ ตั้งแต่ประโยคแรกหรือบรรทัดแรก เพราะช่องทาง E-mail ย่อมมีคู่แข่งหรือเรียกได้ว่าเป็นความท้าทายที่จะทำอย่างไรให้คนที่เคยเป็นลูกค้าของคุณคลิกอ่านอีกครั้ง อย่าลืมว่าไม่ควรมีข้อความที่เยอะเกินไปเพราะทำให้ไม่น่าสนใจ สร้าง Banner ให้สวยงาม เห็นสินค้าและราคาหรือโปรโมชันให้ชัดเจน พร้อมลิงก์เว็บไซต์ที่อาจมีทั้ง URL Link และฝังลิงก์กับภาพหรือ Botton แค่นี้ก็ดึง Organic Traffic ได้อีกทางแล้ว

 
เช็ก Website Traffic ได้อย่างไร?
 
หลังจากที่เข้าใจวิธีการแล้ว อันดับต่อมาควรมีการวัดผล traffic ของเว็บไซต์เพื่อให้ทราบว่า Website Traffic ที่ได้รับนั้นมาจากช่องทางใด และมีคุณภาพหรือไม่ โดยใช้เครื่องมือ Google Analytics ในการอ่านรีพอร์ต ซึ่งมี Sorces หรือช่องทางหลัก ในการวิเคราะห์ผลดังนี้
 
  • Organic: อธิบายตรงตัวที่ Traffic ที่ได้จาก Organic Search ไม่ใช่การจ่ายเงินโฆษณา เช่น การเสิร์ชคำค้นหา “หมอนรองคอ” และเจอเว็บไซต์ของเราหน้าแรก แบบไม่ได้รันโฆษณา เป็นต้น

 

  • Direct: คือ Traffic ที่เข้ามาโดยตรง เช่น การพิมพ์ชื่อเว็บไซต์เข้ามา หรือเกิดจากการที่ผู้ใช้งานกด Bookmark ไว้

 

  • Referral: คือ การคลิกเข้าจากลิงก์บนหน้าไซต์อื่นที่ไม่ใช่ Search Engine เช่น จาก Backlinks ในบทความ 

 

  • Social: คือ Traffic จากโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter หรือ Instagram 

 

  • Paid: จำนวนการคลิกจาก PPC ที่ทำโฆษณาผ่าน Google Search หรือ SEM

 

  • Email: การเข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากการคลิกลิงก์ผ่าน Email Marketing และมีการติด Tag เอาไว้
 

และเพื่อชี้วัดประสิทธิภาพของ Website Traffic ที่ได้ ต้องอาศัยปัจจัยเหล่านี้จาก Google Analytic 

 

1. CTR (Click Through Rate)

 

คืออัตราการคลิก ที่ใช้วัดประสิทธิภาพของเนื้อหา Content หรือโฆษณาใด ๆ ก็ตามที่เราได้วางกลยุทธ์ไป โดยคิดจาก จำนวนคลิก หารด้วยจำนวนการแสดงผล = CTR Rate นั่นเอง เช่น มีจำนวน 5 คลิก และ 100 Impression จะได้ CTR = 5% 

 

 

2. Engaged Session

 

ถือเป็น Session ใหม่สำหรับ Google Analytic 4 (เวอร์ชันล่าสุด) ที่ทาง GA เอาค่า Bounce Rate ออกเรียบร้อย ซึ่ง Engaged Session คือการที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์มีปฎิสัมพันธ์กับหน้าเว็บ เช่น การคลิก การอ่าน โดยใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บไซต์หรือเปิดไว้อย่างน้อย 10 วินาที (Session Duration) หรือมีการเข้าดูหน้าเพจต่าง ๆ (Page View) อย่างน้อย 2 หน้า รวมถึงคอมเมนท์อะไรต่าง ๆ ดังนั้นหากระยะเวลาการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณไม่นาน ลองวิเคราะห์ว่าเกิดจาก Content ที่ไม่ตรงตามความต้องการ หรือมีรายละเอียดในส่วนไหนที่ควรปรับให้ดีขึ้นหรือไม่

 

ทั้งหมดนี้เป็นเคล็ดลับในการเพิ่ม Website Traffic ที่ Readyplanet ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการตลาดแบบ All-in-One นำมาฝากกัน อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เข้ากับกลยุทธ์ของธุรกิจและวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อให้เว็บของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักในการสร้าง Traffic ที่ยั่งยืนคือการทำ SEO ดังนั้นการรีเสิร์ชคีย์เวิร์ดจึงเป็นด่านแรกที่สำคัญและสร้าง Organic Search ได้ในระยะยาว ที่เรดดี้แพลนเน็ต มีทีมผู้เชี่ยวชาญให้บริการทำ SEO บริการ SEO วิถีใหม่ ยกระดับคุณภาพเว็บไซต์ในภาพรวม ที่มีประสบการณ์ในองค์กรต่าง ๆ มากมาย ที่มาพร้อมเครื่องมือ Marketing Tech ครอบคลุมการตลาดแบบครบวงจร ทำงานแบบ ROI Focused วัดผล Conversions ชัดเจน by คีย์เวิร์ด ช่วยให้คุณได้ลูกค้าจริงเพิ่มมากขึ้น ประหยัดค่าโฆษณา และให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย

 

 

สำหรับผู้ที่สนใจบริการ SEO วิถีใหม่ ยกระดับคุณภาพเว็บไซต์ในภาพรวม

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่

Updated: 20 April 2021 | Produced by: Ploynaphat Wattanachodjirachai