มากกว่า ขายของออนไลน์อะไรดี คือตีโจทย์สินค้าให้แตก บุกตลาดทั้งเชิงรับและเชิงรุก

ขายของออนไลน์อะไรดี?

การที่จะตอบคำถามนี้ได้นั้น คุณต้องวิเคราะห์ก่อนว่า สินค้าที่คุณจะขายออนไลน์นั้น เป็นสินค้าประเภทใด เพราะการเลือกสินค้า และเปิดเว็บขายของออนไลน์ได้นั้น คุณต้องมั่นใจและมีความเข้าใจในธรรมชาติของสินค้าประเภทนั้นอย่างถ่องแท้เสียก่อน ซึ่งจะสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคโดยตรง ตามหลักการตลาดออนไลน์นั้น สินค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามเหตุผลของการซื้อ คือ Considered Purchase และ Impulse Purchase

1. Considered Purchase ซื้อด้วยเหตุผล ความต้องการใช้ และความจำเป็น

สินค้าประเภทนี้เป็นสิ่งที่ลูกค้ามีจำเป็นต้องใช้งาน หรือมีปัญหาเดือดร้อนจึงต้องซื้อมาใช้ การขายสินค้าออนไลน์ในกลุ่มนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะลูกค้าซื้อด้วยเหตุผล มีความจำเป็น จึงไม่ซื้อไม่ได้ เมื่อลูกค้าจะซื้อของมักใช้ Google ค้นหาว่ามีร้านค้าออนไลน์ใดขายสิ่งที่ต้องการอยู่บ้าง ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือการเปิดเว็บขายของออนไลน์รอไว้ เพื่อให้ลูกค้าเสิร์ชเจอเสมอ และอาจทำโฆษณา Google ควบคู่ เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหา Google เมื่อมีคนค้นหาคีย์เวิร์ดที่คุณซื้อไว้ ตัวอย่างสินค้าในกลุ่มนี้ เช่น แว่นสายตา หน้ากากอนามัย ผ้าม่าน หม้อหุงข้าว บริการกำจัดปลวก เป็นต้น

2. Impulse Purchase ซื้อด้วยอารมณ์ การจูงใจ และการกระตุ้นให้อยากซื้อ

สินค้าประเภทนี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าไม่ได้กำลังต้องการ การตัดสินใจซื้อเกิดจากอารมณ์ที่ได้รับการกระตุ้น หรือการจูงใจ ดังนั้นการขายสินค้าออนไลน์ในกลุ่มนี้จึงต้องอาศัยการเขียนที่น่าดึงดูดใจ และภาพที่ชวนมอง เพื่อสร้างให้เกิดความอยากซื้อ สินค้าบนเว็บขายของออนไลน์ประเภทนี้มักเขียนคำบรรยายและทำภาพให้น่าสนใจมากเป็นพิเศษ เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาที่ร้านค้าออนไลน์ เนื่องจากลูกค้าไม่ได้มีความต้องการ จึงไม่ไปค้นหา Google แต่จะเล่นโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Instagram หรือเข้าเว็บเสพสื่อต่าง ๆ ดังนั้น จึงต้องทำโฆษณาเฟซบุ๊ก หรือโฆษณา GDN (แบนเนอร์) ควบคู่ไปด้วย ตัวอย่างสินค้าในกลุ่มนี้ เช่น แว่นกันแดด เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องออกกำลังกาย หมอนยางพารา บริการนวดหน้า เป็นต้น

กลับมาที่คำถาม “ขายของออนไลน์อะไรดี?”

โดยทั่วไปสินค้าทุกชิ้นจะมีจุดเด่นของตัวเอง แต่อาจไม่เคยหยิบออกมานำเสนอ สินค้าชนิดหนึ่งอาจขายด้วยเหตุผล หรือขายด้วยการกระตุ้นอารมณ์ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น สินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ในช่วงที่ต้องทำงานที่บ้าน ก็มีความจำเป็นต้องซื้อโต๊ะและเก้าอี้มาใช้ ถือเป็น Considered Purchase แต่ก็สามารถกระตุ้นกลุ่มคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ได้ เช่น นั่งแล้วกระดูกจะทรงดี ไม่ปวดเมื่อย คุณผู้หญิงนั่งแล้วไม่ลงพุง มีการอ้างอิงข้อมูลวิชาการประกอบ เป็นต้น ซึ่งถือเป็น Impulse Purchase เก้าอี้ตัวเดียวกันจึงเป็นได้ทั้งรอคนที่จำเป็นมาซื้อ และไปกระตุ้นให้คนมาซื้อ ดังนั้นคุณจึงสามารถเลือกสินค้าใดก็ได้มาขายที่ร้านค้าออนไลน์ จากนั้นเลือกมุมหรือเรื่องราวที่จะนำเสนอให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถตีตลาดได้ทั้งเชิงรับ และเชิงรุก

สินค้าและบริการบางอย่างที่เป็น Impulse Purchase ก็อาจบิดมุมไปขายเป็น Considered Purchase ได้เช่นกัน เช่น อาหารทะเล อยู่ดี ๆ คนคงไม่ได้เสิร์ช Google หาอาหารทะเล แต่เมื่อมีคอนเทนต์บนเฟซบุ๊กมาชวนให้ซื้อ ก็เกิดความอยากซื้อขึ้นมาได้ ขึ้นอยู่กับการเล่าเรื่อง (Storytelling) แต่หากเจ้าของธุรกิจขายบริการจัดเลี้ยงควบคู่ด้วย แบบนี้จะค่อนไปทางตอบสนองความต้องการ คนที่จะหาโต๊ะจีนก็จะมาเสิร์ช Google ก็สามารถที่จะเพิ่มยอดขายอีกทางได้

ReadyPlanet สรุป

กล่าวโดยสรุปคือ สามารถขายสินค้าออนไลน์ได้แทบจะทุกอย่าง เพียงแต่ว่าจะเน้นไปทางการตลาดเชิงรับ หรือเชิงรุก หรือทั้ง 2 แบบ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะได้ทั้ง 2 แบบ และส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่ 50/50 โดยทั่วไปจะค่อนไปทางใดทางหนึ่ง ต้องวิเคราะห์สินค้า มองให้ออกว่าคนซื้อด้วยเหตุอะไร คนซื้อด้วยอารมณ์ก็ต้องหาเหตุที่เหมาะสมมาชวนให้คนซื้อ เพียงเท่านี้ร้านค้าออนไลน์ของคุณก็จะมียอดขายได้ไม่ยาก (นอกจากเรื่องขายของออนไลน์อะไรดี ยังมีไอเดียการเลือกสินค้ามาขายออนไลน์ในช่วงโควิดด้วย คลิกที่นี่เพื่ออ่าน 5 แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคยุคโควิด จับทิศการตลาดออนไลน์)

จากที่ ReadyPlanet สรุปมาให้ หวังว่าคุณจะมีไอเดียและสามารถขายสินค้าออนไลน์ได้

หากสนใจสร้างเว็บขายของออนไลน์ฟรี! ขอแนะนำ ReadyPlanet Marketing Platform

เครื่องมือการตลาดดิจิทัลครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์สำเร็จรูป ร้านค้าออนไลน์ ระบบจองบริการ ระบบ CRM บริหารรายชื่อลูกค้าและงานขาย ปุ่มรวมช่องทางการติดต่อและวัดผลโฆษณาออนไลน์ หรือเครื่องมืออื่น ๆ

ลงทะเบียนโดยคลิกปุ่มสีส้มด้านล่างนี้ (ลงทะเบียนด้วย Email)

สมัครไม่ได้? คลิกที่นี่เพื่อดูขั้นตอนการสมัครใช้งานฟรี

 Updated: 2 July 2020 | Written by: Harnchai Chaitusaney