ใช้เงินไม่สูญเปล่า แค่ไม่ลืมวัดผลแคมเปญโฆษณา

อัพเดตวันที่ 3 ธันวาคม 2562

ในยุคดิจิทัล นักการตลาดออนไลน์กว่าครึ่งคงได้มีโอกาสทำแคมเปญโฆษณาต่างๆ และมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เรดดี้ แพลนเน็ตเห็นจากการประสบการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลให้แคมเปญไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร คือนักการตลาดไม่น้อยละเลยการวัดผลระหว่างแคมเปญ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อีกสิ่งคือความเข้าใจผิดที่ว่าการวัดผลต้องรอหลังแคมเปญจบแล้วจึงจะทำได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก วันนี้ เราขออนุญาตนำเสนอการวัดผลของช่องทางโฆษณายอดนิยมอย่าง Google Ads ที่ถูกต้อง พร้อมยกตัวอย่างไปพร้อมกัน

การวัดผลแคมเปญที่ดีนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ตอนสร้างแคมเปญได้เลย ในระหว่างที่วางวัตถุประสงค์ และขั้นตอนที่จะ run แคมเปญนั้น นักการตลาดควรคิดไปด้วยเลยว่าจะวัดผลอย่างไร และการวัดผลนั้นต้องทำทั้งระหว่างที่แคมเปญ active อยู่ และเมื่อจบแคมเปญ ไม่ควรจะวัดเพียงช่วงใดช่วงหนึ่ง

เหตุผลหลักที่เราต้องวัดผลระหว่างแคมเปญก็เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันในกรณีที่แคมเปญของเราไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ต้องการ เราคงไม่อยากเสียเงินไปเรื่อย ๆ กับงานที่ไม่ได้ผลลัพธ์ อย่างน้อยที่สุด ถ้าไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรจริง ๆ ในระหว่างทาง เราก็สามารถหยุดแคมเปญได้เลย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายไปส่วนหนึ่ง ส่วนการวัดผลหลังจบนั้นก็จะช่วยให้เราเรียนรู้ว่า เราทำอะไรควรหรือไม่ควรลงไป เพื่อแคมเปญต่อไปจะได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

 

1. การกำหนดวัตถุประสงค์ของแคมเปญ โดย Google Ads นั้นมีเครื่องมือให้ใช้ตามจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาแบบรูปภาพและวิดีโอ โฆษณาในเครือข่ายการค้นหา หรือแคมเปญสำหรับยอดขายออนไลน์ และสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดได้แตกต่างกัน เช่น เพื่อแนะนำสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อนำเสนอข้อมูลของผลิตภัณฑ์ เพื่อกระจายข่าวสาร เพื่อสร้างภาพลักษณ์และเจตคติ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายไปยังร้านค้า และเพื่อให้เกิดกิจกรรมบางอย่างบนหน้าเว็บไซต์ธุรกิจ เป็นต้น

 

2. การวัดผลของแคมเปญแต่ละประเภท

  • โฆษณาแบบดิสเพลย์ สามารถดูวัดจำนวนการมองเห็น โดยนับเหตุการณ์ที่ลูกค้าวางเคอร์เซอร์บนโฆษณาแบบดิสเพลย์ของคุณเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งวินาที จึงสามารถช่วยเน้นโฆษณาที่สามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าโดยไม่มีการคลิกผ่านจริงมายังเว็บไซต์ธุรกิจ เหมาะสำหรับการสร้างธุรกิจหรือการเปิดตัวสินค้า/บริการให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

  • โฆษณาในเครือข่ายการค้นหา มักวัดผลด้วยจำนวนคลิก การแสดงผล และอัตราการคลิกผ่าน นอกจากนี้ยังสามารถดู “ความเกี่ยวข้องของโฆษณา" ด้วยสถานะของคีย์เวิร์ดที่แสดงว่าเกี่ยวข้องกับโฆษณามากเพียงใด หากค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย หมายความว่าคุณอาจต้องอัปเดตข้อความโฆษณาเพื่อให้สัมพันธ์กับคีย์เวิร์ดมากขึ้น ทั้งยังตรวจสอบ “คะแนนคุณภาพ” หรือค่าประมาณคุณภาพของโฆษณา คีย์เวิร์ด และหน้า Landing Page ของคุณได้ โดยโฆษณาที่มีคุณภาพสูงขึ้นอาจช่วยนำไปสู่ราคาที่ต่ำลงและอันดับโฆษณาที่ดีขึ้นได้

3. วัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่ว่าจะใช้ Google Ads เพื่อเพิ่มยอดขาย สร้างโอกาสในการขาย หรือกระตุ้นให้ลูกค้าทำกิจกรรมอื่นๆ การเข้าใจ ROI จะทำให้คุณประเมินได้ว่าเงินที่คุณใช้จ่ายใน Google Ads ใช้ไปในทางที่ควร นั่นคือการทำผลกำไรที่ดีให้กับธุรกิจหรือไม่ โดยวิธีหนึ่งในการระบุ ROI คือ (รายได้ - ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป) / ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป

วิธีการหา ROI ต้องเริ่มต้นจากการวัด Conversion ซึ่งเป็นการกระทำของลูกค้าที่ธุรกิจมองว่ามีคุณค่า หรือเป้าหมายปลายทางของแคมเปญโฆษณา (goal) นั่นเอง เช่น การซื้อ การลงชื่อสมัครใช้ การเข้าชมหน้าเว็บ หรือโอกาสในการขาย

หากพบว่าแคมเปญหนึ่งสร้าง ROI สูงกว่าแคมเปญอื่นๆ ก็จะสามารถเพิ่มงบประมาณให้กับแคมเปญที่ประสบความสำเร็จนั้นได้ และลดงบประมาณในแคมเปญที่ทำงานได้ไม่ได้อย่างทันท่วงที

ติดตั้งตัวช่วยวัดผลโฆษณา

สมมติว่าแคมเปญปัจจุบันของเรา คือการ convert leads ให้กลายเป็นยอดขายให้มากที่สุด เราจะขอยกตัวอย่างการวัดผลด้วย R-Widget และ R-CRM ซึ่งในตอนต้น หลังจากที่ได้ชุด keywords ออกแบบ และสร้าง creatives ต่าง ๆ แล้ว เราก็ต้องคิดเลยว่า สิ่งที่จะใช้วัดผลก็คือเครื่องมือที่ช่วย track journey ของแต่ละ lead ว่านำไปสู่ยอดขายในที่สุดหรือไม่ และลองหาเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ ซึ่งเราจะเริ่มจากติดตั้ง R-Widget ที่เชื่อมต่อกับบัญชี Google Ads ของคุณ และเหตุผลที่ R-Widget อำนวยความสะดวกได้ดีก็เพราะปุ่มนี้รวบรวมช่องทางยอดนิยมที่ลูกค้าสามารถเลือกติดต่อธุรกิจของคุณเข้ามาได้อย่างง่ายดายบนเว็บไซต์ หรือจะฝากข้อมูลให้ติดต่อกลับก็ได้ถ้าอยู่นอกเวลาทำการ แถมยังฟรีอีกด้วย

บริหารงานทีมและติดตามเป้าหมาย

เมื่อติดตั้งแล้วก็มาถึงขั้นตอนวัดผลระหว่างแคมเปญ เราเลือกใช้ระบบ R-CRM ที่ช่วยให้คุณบริหารทีมขาย และรายชื่อลูกค้าได้ในที่เดียว Lead ที่มาจาก R-Widget จะถูกบันทึกไว้ใน R-CRM ช่วยให้คุณ track journey ได้ว่าลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์หรือร้านค้าเราจากแคมเปญโฆษณาไหน และ keywords ใดบ้าง เมื่อได้ lead ในส่วนนี้แล้ว ก็สามารถให้ sales ติดต่อลูกค้ากลับไปเพื่อสร้างยอดขาย ด้วยความสามารถในการสร้าง quotation และ invoice ได้อย่างรวดเร็ว แถม filter และค้นหา lead ต่าง ๆ ได้ตรงตามเป้าหมาย ทำให้คุณจูงใจลูกค้า ปิดการขายได้ง่ายและไวยิ่งขึ้น อ่านบทความเรื่อง journey และ marketing funnel

แต่ถ้าในระหว่าง run แคมเปญแล้ว เห็นจาก dashboard ของ R-CRM พบว่า lead ที่เข้ามาน้อยเกินไป คุณก็สามารถดูย้อนกลับไปเช็คแคมเปญโฆษณาได้ทันท่วงทีว่าจำเป็นต้องปรับเพิ่มหรือไม่ หรือจริง ๆ แล้วเป็นเพราะ creatives ของคุณไม่ดึงดูด ลูกค้าจึงไม่ interact ด้วย อย่างที่บอกไปว่า การวัดผลทางนี้จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที ไม่เสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์

พอจบแคมเปญแล้ว R-CRM ยังมี function ที่ช่วยให้คุณสามารถ import หรือ export รายชื่อ lead ไปใช้ในแคมเปญอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ sales เปลี่ยนคน ก็สามารถย้าย lead ไปให้คนที่มาแทนได้ง่าย ๆ เป็นฐานข้อมูลที่ทรงพลังสำหรับแคมเปญโฆษณาต่อไป

จากข้อมูลข้างต้น จะพอเห็นภาพและความสำคัญของการออกแบบการวัดผล และติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญอย่างใกล้ชิด เริ่มตั้งแต่การออกแบบวิธีการ และเตรียมวัดผลทั้งในระหว่าง run อยู่และจบไปแล้ว

 

 

สำหรับท่านที่สนใจ เครื่องมือ R-Widget เป็นเครื่องมือสำหรับติดตั้งบนหน้าเว็บไซต์ รองรับลูกค้าที่เข้าชมและติดต่อกับธุรกิจได้ครอบคลุมทุกช่องทางยอดนิยม ช่วยให้ไม่พลาดลูกค้าใหม่ และยังติดต่อลูกค้าเก่าได้อย่างไม่มีสะดุด ทั้งยังเชื่อมต่อ และวัดผลกับ Google Ads ได้ โดยมีสรุปรายงานประจำวันผ่านทางอีเมล และยังส่งรายชื่อผู้ติดต่อเข้าระบบ CRM สำหรับบริหารงานขาย ช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการทีม sales รายชื่อลูกค้า และ lead ที่มาจากโฆษณาออนไลน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีระเบียบ ทั้งหมดนี้ รวมอยู่ใน ReadyPlanet Marketing Platform แพลตฟอร์มการตลาดดิจิทัลแบบ All-in-One สมัครใช้ฟรีได้แล้ววันนี้

 

 

 

ให้ทุก ๆ วัดผลโฆษณาผ่านเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย R-Widget

ปุ่มรวมช่องทางการติดต่อไว้ในที่เดียว เก็บข้อมูลและวัดผลโฆษณาได้ชัดเจน เหมาะกับทุกธุรกิจ ติดตั้งบนเว็บไซต์ ฟรี! สมัครใช้ฟรีเพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง