สารพัดเครื่องมือโฆษณาออนไลน์ช่วยเพิ่มลูกค้าให้ธุรกิจ

By ReadyPlanet  |  Category: Digital Ads  |  On March 18, 2019  |  [5 MIN READ]

ในยุคที่ทุก ๆ คนตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงวัยชรา ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของโลกออนไลน์ หลากหลายกิจกรรมถูกโยกย้ายจากโลกออฟไลน์มาอยู่บนโลกออนไลน์ ทั้งความบันเทิง ข่าวสารบ้านเมือง การซื้อสินค้า การเรียนรู้ ธุรกรรมทางการเงิน หรือแม้กระทั่งการติดต่อสื่อสารพบปะกับเพื่อน ๆ ซึ่งจากสถิติในไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ผ่านมาโดย สพธอ. พบว่าคนไทยในทุกช่วงวัย ใช้เวลากับโลกออนไลน์นานถึง 9–11 ชั่วโมงต่อวัน และจากพฤติกรรมที่คนไทยใช้เวลากับโลกออนไลน์มากขนาดนี้ ส่งผลให้แบรนด์สินค้าและบริการต่างพากันสร้างตัวตนให้กับตนเองบนโลกออนไลน์ ทั้งการทำเว็บไซต์และแฟนเพจ แต่การมาอยู่บนโลกออนไลน์เฉย ๆ อาจไม่ทำให้ลูกค้าเข้ามาหาเราได้ แล้วเราต้องทำอย่างไร ถึงลูกค้าจะเข้ามาหาเรา?

 
 
จริงๆ ทุกคนก็น่าจะทราบกันอยู่แล้ว ว่าวิธีที่ทำให้ลูกค้าเข้ามาหาร้านค้าของเราก็คือการ ทำโฆษณาออนไลน์ ผ่านสื่อต่างๆ แต่ก่อนที่จะพูดถึงวิธีการลงโฆษณา เรามาดูกันก่อนว่า ระหว่างทางจากลูกค้ามาหาหน้าร้านบนโลกออนไลน์ของเรา ลูกค้าต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง..
 
เส้นทางจากลูกค้าจนถึงจุดหมายปลายทางที่ร้านค้า
 
จุดเริ่มต้นของเส้นทางสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือ 1. ลูกค้ามีความต้องการในตัวสินค้า จึงค้นหาสินค้าผ่าน Google และ 2. ลูกค้ามาเห็นโฆษณาที่สินค้าลง ทำให้เกิดความสนใจ จึงคลิกเข้ามารับชมต่อ จาก 2 รูปแบบดังกล่าว เราจะมาดูกันว่า ลูกค้าต้องผ่านถึงกี่ด่าน กว่าที่ลูกค้าจะมาติดต่อกับเราได้
 
 
1. ลูกค้าเกิดความสนใจเอง
เมื่อลูกค้าเกิดความต้องการในตัวสินค้า ทั้งกรณีที่ลูกค้ามีความจำเป็นต้องใช้ และกรณีที่ลูกค้าเห็นตัวอย่างสินค้าจากช่องทางออฟไลน์มาก่อนจึงเกิดความสนใจ ในยุคสมัยแบบนี้ หากลูกค้าต้องการจะหาข้อมูลของสินค้านี้เพื่อจะซื้อมาใช้งาน ลูกค้าก็จะนำชื่อแบรนด์หรือประเภทของสินค้ามาค้นหาใน Google หากค้นหาด้วยชื่อแบรนด์ ผลการค้นหาก็คงจะปรากฏหน้าเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรกๆ แต่ถ้าลูกค้าค้นหาด้วยชื่อประเภทสินค้า เช่น “โรงแรมหัวหิน” “รถกระบะ” ผลการค้นหาก็จะแสดงสินค้าจากหลากหลายแบรนด์มากมาย หากต้องการให้แบรนด์ของเราปรากฏอยู่ด้านบนของผลการค้นหา ก็จะต้องซื้อพื้นที่โฆษณาจาก Google Ads เพื่อให้ผลการค้นหาที่ในโซนด้านบนสุดเป็นเว็บไซต์ของเรา เมื่อลูกค้าพบสินค้าของเราบนหน้าแสดงผลการค้นหาแล้ว ก็มีโอกาสทั้งลูกค้าจะคลิกเข้ามาดูต่อ หรือจะไม่สนใจแล้วปิดออกไป
 
ตัวอย่างโฆษณาบนหน้า ผลการค้นหาของ Google
 
หากลูกค้าคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์แล้ว ในครั้งต่อไป โฆษณาจากเราก็จะไปปรากฎให้ลูกค้าได้เห็นอีกสักพักหนึ่งผ่านสื่อโซเชียลและเว็บไซต์ต่างๆ ที่ลูกค้าได้เข้าชม โดยใช้วิธี Remarketing อย่างกรณีที่เราเข้าไปดูสินค้าในเว็บไซต์ Marketplace ชื่อดังหลากหลายเจ้า แล้วหลังจากนั้น สินค้าชิ้นนั้นๆ ที่เราได้เข้าไปดู ก็จะกลับมาให้เราเห็นอีกสักระยะหนึ่งบนหน้า Feed ของ Facebook เปรียบเสมือนเป็นการตอกย้ำให้ลูกค้ารีบตัดสินใจ แล้วกลับมาซื้อสินค้าชิ้นนี้ให้ได้
แต่ถ้าลูกค้าไม่ได้คลิกเข้ามาดูเว็บไซต์ของเรา ก็สามารถใช้วิธี Custom Intent ได้ ซึ่งวิธีนี้ Google จะคอยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ลูกค้าได้ทำการค้นหาเข้ามา เมื่อคีย์เวิร์ดนั้นสอดคล้องกับประเภทสินค้าที่เราได้ลงโฆษณา โฆษณาจากเราก็จะไปปรากฏเป็นแบนเนอร์ให้ลูกค้าเห็นตามช่องทางเว็บไซต์ต่างๆ ต่อไป
 
ตัวอย่างโฆษณาบน Facebook ที่แสดงโฆษณาของสินค้าที่เราเคยดูบน Lazada
 
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าลูกค้าจะคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์หรือแค่ค้นหาแล้วจากไป เราก็สามารถยิงโฆษณาให้ลูกค้าเห็นได้ เมื่อลูกค้าตัดสินใจแล้ว ลูกค้าก็จะกลับเข้ามาหาเราเพื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่อไปผ่านช่องทางที่เรากำหนด อาทิ การแชตกับลูกค้าผ่าน Facebook หรือ LINE@ การโทรศัพท์ การซื้อสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์ และการเดินทางมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่หน้าร้าน เป็นต้น
 

2. ลูกค้ามาเห็นโฆษณาเราแล้วเกิดความสนใจ

 
เส้นทางจากลูกค้าจนถึงจุดหมายปลายทางที่ร้านค้า
 
รูปแบบนี้ คือลูกค้าไม่ได้สนใจในตัวสินค้าก่อน แต่เราจะเป็นคนทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจเอง ด้วยการลงโฆษณาให้ลูกค้าได้เห็นสินค้าของเรา สำหรับช่องทางในการลงโฆษณาที่เป็นที่นิยมกัน ก็คือ Google Display Network เครือข่ายในการลงแบนเนอร์โฆษณา บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ ทั้ง YouTube Gmail และเว็บไซต์พันธมิตรมากกว่า 2 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก และอีกหนึ่งช่องทางที่นิยมไม่แพ้กัน ก็คือ Facebook Ads ที่สามารถให้โพสต์โฆษณาจากเรา ไปปรากฏใน News Feed ของผู้ใช้งาน ทั้ง Facebook และ Instagram ข้อดีของการลงโฆษณาออนไลน์ ทั้งเครือข่าย Google และ Facebook ที่เหนือกว่าการลงโฆษณาทางออฟไลน์ก็คือ ผู้ลงโฆษณาสามารถกำหนดได้ว่า จะให้ใครเห็นโฆษณาของเรา ซึ่งสามารถกำหนดได้ทั้งเพศ ช่วงวัย ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ ที่อยู่ของผู้ใช้ การศึกษา และอื่นๆ อีกหลากหลายตัวแปรมากมาย ต่างจากช่องทางออฟไลฟ์ ที่สามารถกำหนดได้เพียงช่องทางในการลงโฆษณาเท่านั้น
 
ตัวอย่างโฆษณาบน Gmail ในแถบ Promotions
 
เมื่อลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว โฆษณาจากเราก็จะไปปรากฏให้ลูกค้าเห็นอีกสักระยะหนึ่งหลังจากที่เข้าเว็บไซต์ของเราไป ด้วยวิธี Remarketing และสุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการที่ลูกค้าตกลงซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากเราต่อไป ตามที่ได้กล่าวไปในข้อที่แล้ว
 
ตัวอย่างโฆษณาบน Instagram Stories
 
จากที่ได้เล่าไป ไม่ว่าเส้นทางไหนๆ ที่ลูกค้าจะเข้ามาหาเว็บไซต์ของเรา ก็ต้องใช้เครื่องมือในการลงโฆษณามากมาย ไม่ว่าจะเป็น..
 
  • Google Ads เครื่องมือลงโฆษณาแบบ One Stop Service จาก Google ที่ใช้สำหรับการลงโฆษณาในหลากหลายตำแหน่ง หลากหลายเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมากมาย ทั้งการลงแบนเนอร์ในเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นเครือข่ายของ Google Display Network การโฆษณาใน YouTube ทั้งแบนเนอร์ด้านข้าง และวิดีโอโฆษณาก่อนเริ่มคลิปวิดีโอจริง การโฆษณาในหน้า Gmail และการโฆษณาผ่าน Google Search ที่สามารถทำให้ผลการค้นหาที่มาจากหน้าเว็บไซต์ของเรา ปรากฏอยู่ด้านบนสุดในหน้าแสดงผลการค้นหา

 

  • Facebook Ads เครื่องมือลงโฆษณาจาก Facebook ที่ครอบคลุมทั้ง Facebook Instagram และ Messenger ทั้งการบูสต์โพสต์ให้ผู้ใช้เห็นโพสต์จากเราบนหน้า News Feed การลงโฆษณาแบบวิดีโอแนวตั้งใน Stories และการลงแบนเนอร์โฆษณาใน Messenger เพื่อให้ลูกค้าสามารถแตะเข้าไปเพื่อแชตคุยกับแอดมินต่อได้ทันที
 
 
ตัวอย่างเครื่องมือทำโฆษณา Facebook Ads Manager
 
ถึงแม้ว่าการจะลงโฆษณาให้ครบทุกช่องทางจะใช้แค่ 2 เครื่องมือนี้เท่านั้น แต่ 2 เครื่องมือนี้ก็มีขั้นตอนการใช้งานที่ยุ่งยาก มีศัพท์เทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวกับการโฆษณาให้พบอยู่มากมาย การกำหนดเป้าหมาย (Target) ที่มีขั้นตอนในการกำหนดที่สลับซับซ้อน หากเป็นมือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญในการลงโฆษณา อาจทำให้โฆษณาของเราไปปรากฎให้กับผู้ใช้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้เห็น ส่งผลต่อต้นทุนที่ต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และทำให้งบประมาณบานปลายได้
 

เรดดี้แพลนเน็ต แนะนำ

ปัจจุบันด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เมื่อผู้บริโภคสนใจสินค้าใดสินค้าหนึ่ง อาจจะไม่เกิดการซื้อขึ้นทันทีเสมอไป แต่จะไปค้นหาข้อมูลผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น Google Search, Facebook, Instagram หรือเข้าไปยังเว็บไซต์ จนเกิดเป็น Customer Journey ดังนั้นผู้ประกอบการ หรือ นักการตลาดในยุค 4.0 ควรทำโฆษณาออนไลน์ให้ครอบคลุมในทุก ๆ ช่องทาง เพื่อให้แบรนด์ สินค้าหรือบริการของคุณสามารถไปปรากฎเพื่อติดตาม และเตือนความจำว่าเค้าเคยเจอหรือค้นหาธุรกิจ สินค้าหรือบริการของคุณนะ เพื่อเพิ่มโอกาสในการคลิกกลับมาซื้อสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์ หรือติดต่อเข้ามาและกลายเป็น Lead ที่มีค่าให้กับธุรกิจ

 

สำหรับผู้ประกอบการ หรือนักการตลาดที่สนใจอยากทำโฆษณาออนไลน์ให้ครบทุกช่องทาง เรดดี้แพลนเน็ตมีบริการ AdPro Value ที่จะช่วยให้ธุรกิจของสามารถทำโฆษณาเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายช่องทาง โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาออนไลน์กว่า 30 คน ที่เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธ์การทำโฆษณาออนไลน์ทั้งบน Google, Facebook, Instagram, LINE แบบครบวงจรให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยในหลากหลายอุตสาหกรรม สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติม คลิกที่นี่