10 ปัญหาที่มักจะพบเมื่อทำ SEO ด้วยตัวเอง

การสร้าง SEO เป็นอีกวิธีที่ช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการสินค้านั้นอย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและคงอยู่ได้ยาวนาน โดย SEO ที่ได้ผลนั้น วิธีการวัดเบื้องต้นคือควรอยู่บนหน้าแรกของ Google เนื่องจากพฤติกรรมของกลุ่มผู้ค้นหาสินค้าผ่าน Google จะเปิดค้นหาเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น ยิ่งอยู่หน้าแรกและอยู่ Top 5 เท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้าง Traffic สู้เว็บไซต์มากขึ้นเท่านั้น

 

แต่การสร้าง SEO มีหลากหลายเทคนิคมากมาย แต่ความจริงแล้วมีหลายสิ่งที่ผู้ประกอบการ และนักการตลาด SEO มือใหม่อาจพลาดไปวันนี้ Readyplanet จึงได้รวบรวมปัญหาและความเข้าใจผิดที่มักจะเกิดขึ้นระหว่างทำ SEO มาฝากกัน เพื่อให้สามารถระมัดระวัง และไปสู่เป้าหมายในการทำอันดับได้ดีบน Google Search มากขึ้น ซึ่งจะมีอะไรบ้าง มาติดตามกันได้เลยครับ

 

1. เลือก keyword ไม่เป็น

 

 

การเลือก Keyword สำหรับใส่บทความคือหัวใจหลักของการเขียน SEO เพราะเป็นคำสำคัญที่จะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ ให้เข้ามาอ่านบทความ โดยการใช้ Keyword ที่ถูกต้องนั้นควรวิเคราะห์ผ่านเครื่องมือค้นหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ Keyword ทำงานในบทความจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำที่เขียนบ่อยในบทความอย่างเดียว หรือ Keyword ที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช่เพียงแค่คำคำนึง แต่รวมถึงกลุ่มคำที่สื่อถึงการกระทำนั้น ๆ ด้วยเช่น การยิงแอดราคาถูก การตลาดบนติ๊กต่อก เครื่องสำอางค์กันน้ำราคาถูก รองพื้นสำหรับนักศึกษา สังเกตว่ากลุ่มคำเหล่านี้มีความหมายชัดในตัวเองว่าทำอะไรเพื่ออะไร 

 

นอกจากจะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ตรงแล้ว ยังได้กลุ่มลูกค้าที่พร้อมตัดสินใจจ่ายได้ทันที

 

2. ลืมนึกถึงการทำ SEO กับสินค้า

 

 

นอกจากการใช้ Keyword ให้ตอบสนองพฤติกรรมการค้นหาของลูกค้าแล้วอีกสิ่งนึงที่ไม่ควรละเลยคือการใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เพราะคำเหล่านี้คือพฤติกรรมของลูกค้าที่ต้องการสินค้าจริง ๆ มักค้นหา อีกสิ่งสำคัญที่หลายคนไม่รู้คือยังช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าของแบรนด์อื่นมารับรู้สินค้าแบรนด์เราด้วย ยิ่งถ้าอยู่ช่วงกำลังตัดสินใจเปลี่ยน การเขียน Keyword ที่เกี่ยวของกับสินค้าจะช่วยได้เยอะ เพราะลูกค้ามักค้นหาคำที่แบรนด์ที่ใช้งานอยู่ ยังทำงานดีไม่เต็มที่ ซึ่งการใช้ Keyword ตรงนี้หากสอดคล้องกับนโยบายของ Google จะช่วยติดปีกให้บทความทำงานได้มากกว่าประสิทธิภาพอีกด้วย อย่างเครื่องมือ R-Web เว็บไซต์สำเร็จรูป ที่พัฒนาให้เว็บไซต์เชื่อมต่อกับ Google ทำให้บทความติดหน้าแรกของ Google ได้ง่ายขึ้น ยิ่งใครที่เน้นเขียนบทความ SEO เป็นหลักเพื่อดึงดูดลูกค้าหรือสร้างเว็บไซต์เพื่อเป็นแหล่งรวมข้อมูลสินค้า จะยิ่งช่วยให้บทความ SEO ทำงานได้ดีกว่าเดิมและยังช่วยลดงบประมาณในการลง Ads ทางอ้อมอีกด้วย และสามารถทำ Product Markup SEO ได้ด้วยเช่นกันผ่าน R-Shop

 

3. ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนคอนเทนต์

 

 

การเขียนคอนเทนต์ SEO ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการเขียนมากกว่าปกติ เนื่องจากต้องเขียนเพื่อตอบสนอง Keyword นั้น ๆ โดยที่ไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถูกขายตรงมากเกินไป รวมถึงบทความ SEO มักมีเรื่องราวให้ผู้อื่นอ่านรู้สึกถึง การได้คำตอบที่มากกว่าตอนแรกที่สงสัย รวมถึงยังได้เนื้อหาที่มีประโยชน์เกี่ยวกับสิ่งนั้นเพิ่มขึ้นเพราะบทความ SEO ที่ดีควรเป็นคอนเทนต์ที่เสพเมื่อไหร่ก็เป็นแหล่งความรู้ชั้นดีเพื่อให้ SEO ได้ทำงานนานขึ้น หากใครที่ยังไม่เชี่ยวชาญตรงนี้ อาจทำให้บทความเป็นเพียงหนึ่งในหลายพันบทความบนโลกออนไลน์ไม่ใช่บทความหน้าแรกที่กลุ่มเป้าหมายต้องการอ่านที่สุด

 

4. เว็บไซต์ที่ใช้ไม่ Friendly กับผู้อ่าน

 

ไม่ใช่แค่ลูกค้าเข้ามาเว็บไซต์แล้วกดออกทันทีจะช่วยให้บทความ SEO มีประสิทธิภาพ บความที่ดีควรทำให้ผู้อ่านได้ใช้เวลากับตัวเนื้อหา ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ต้องการ รวมถึงทำให้ผู้อ่านกดอ่านบทความอื่น ๆ ต่อด้วย ฉะนั้นตรงนี้ไม่ใช่เพียงแค่เนื้อบทความเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเว็บที่ Friendly ต่อผู้อ่านด้วย หากกดเข้ามาแล้วเจอแต่โฆษณา จนบดบังเนื้อหา หรือเว็บไซต์ล่าช้า แค่ลูกค้าคลิกเข้ามาก็พร้อมจะกดออกทันที กลายเป็นเว็บไซต์คลิกแบบทั่วไป การมีเว็บไซต์ที่ง่ายต่อลูกค้าจึงช่วยสร้างการทำ SEO อีกช่องทาง อย่าง R-Web แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่มาพร้อมกับเครื่องมือที่ช่วยทำการตลาดแบบ All-in-One ก็มาพร้อมระบบ Smart Theme ที่ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ด้วยตนเองได้ง่าย ๆ ทำให้เป็นมิตรกับผู้อ่านและผู้ใช้งาน

 

5. ปัญหาเรื่อง Page Speed ใช้รูปใหญ่เกินจำเป็น

 

 

ความเร็วเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเลือกว่าจะอยู่เว็บไซต์ต่อหรือพอแค่นี้ เนื่องจากความเร็วจะช่วยตอบสนองความรู้สึกอยากรู้ของลูกค้าได้ทันที แต่หากเข้าเว็บไซต์มาแล้วต้องรอเว็บโหลดนานกว่าตัวเนื้อหาจะขึ้น ทำให้ลูกค้าต้องรอ ทั้งที่ควรเป็นสื่อที่กดแล้วเนื้อหามาทันที ลูกค้าก็พร้อมจะกดออกด้วยความรวดเร็ว เพราะความเร็วในการเข้าเว็บไซต์เป็นสิ่งที่ Google ให้ความสำคัญเพื่อจัดลำดับคอนเทนต์หน้าแรก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเข้าเว็บไซต์ โดย Google จะมีคะแนน Page Speed อยู่ที่ 100 คะแนน ยิ่งคะแนนสูงเท่าไหร่ เว็บไซต์หรือบทความนั้น ๆ ก็มีสิทธิ์ติดหน้าแรกของ Google มากขึ้น

 

6. เน้นการทำ Backlink เยอะ ๆ จนทำให้ไม่มีคุณภาพ 

 

 

อีกเทคนิคที่จะช่วยให้บทความหนึ่งตัวสามารถสร้างอิมแพ็คไปถึงบทความอื่น ๆ นั่นก็คือการหย่อน Backlink ในบทความ ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้เหล่านักทำคอนเทนต์ทั้งหลายพลาดคือการใส่มากเกินไป จนกลายเป็นความฮาร์ดเซลมากกว่าบทความที่ให้ข้อมูลคุณภาพแก่ลูกค้า โดยบทความหนึ่ง 1,000 ตัวอักษรควรใช้ Backlink ประมาณ 2-5 ก็พอ เลือกเฉพาะเนื้อหาที่ชวนให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยจะได้กดลิงค์นั้นต่อไปเลย ไม่ใช่อยากจะใส่ตรงไหนก็ใส่เลย เพราะหาก Backlink วางไม่ถูกที่ก็เหมือนระเบิดที่ผู้อ่านเจอก็พร้อมจะกดหนี 

 

7. ขาดเครื่องมือจัดการ Organic Traffic 

 

 

หลายเว็บไซต์ที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาบนเว็บมากมายผ่านคอนเทนต์ SEO แต่ลืมคิดต่อว่าเข้ามาแล้วได้กดหรือแอคชั่นอะไรต่อบนเว็บหรือไม่ เช่น คอนเทต์ขายสินค้าลูกค้าเข้ามาอ่านข้อมูลสินค้า แต่ไม่กดซื้อ หลายคนอาจจะคิดว่าเพราะลูกค้าไม่ได้อยากซื้อ แต่จริง ๆ แล้ว เราแค่ลืมใส่ Call-To-Action หรือช่องทางสั่งซื้อก็ได้ ซึ่งเป็นเยอะมากสำหรับเว็บสินค้า คือเน้นบอกข้อมูลหรือวางคอนแทคไว้ต้องให้ลูกค้าก็อปไปค้นหาเอง ซึ่งการสร้างความยุ่งยากตรงนี้ก็เหมือนการที่หันหลังให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อ การจัดการ Traffic ตรงนี้จึงสำคัญมากควรเป็นขั้นตอนเลยว่า ตั้งแต่เข้าเว็บไซต์จนถึงเป้าหมายเช่น กดสั่งสินค้า ควรเป็นอย่างไร การติดตั้ง Call-To-Action จึงช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี เหมือนสื่อกับลูกค้าว่า ชอบฉันหรอ ซื้อฉันเลยแค่กดปุ่มนี้ ใครที่เป็นมือใหม่ทำการตลาดอาจจะรู้สึกยุ่งยากจังต้องใช้ Deverloper เลยมั้ย ซึ่งจริง ๆ แล้วง่ายมาก เพียงใช้ R-Widget ปุ่มติดต่ออัจฉริยะ ที่ช่วยจัดการแชทได้ทั้งหน้าเว็บ, LINE OA และ Facebook Messenger รองรับ Traffic แบบคุณภาพได้ทุกช่องทาง

 

8. เข้าใจผิดว่าทำ SEO แล้วจะได้ผลลัพธ์เร็วในระยะสั้น

 

SEO เป็นวิธีที่ต้องใช้เวลาในการทำงาน เนื่องจากทั้งต้องผลิตคอนเทนต์จำนวนนึงเพื่อให้ทั้งหมดได้ทำงานเพื่อหลีดลูกค้ากลุ่มเดียวแต่หลายความต้องการ อีกทั้งคู่แข่งตอนนี้ไม่ว่าจะวงการไหนก็มากกว่าแต่ก่อนมาก เกิดคู่แข่งเยอะ ทำให้ระยะเวลาคอนเทนต์ SEO ทำงานก็ยิ่งมากขึ้น หลายเว็บหันไปซื้อ SEM หรือเรียกว่าการซื้อ Keyword ซึ่งหากไม่ชำนาญก็เป็นโรยเงินลงแม่น้ำ แต่หากมีผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ระบบ AI ในการตรวจสอบอย่างเครื่องมือ AdPro Dynamic ก็จะช่วยให้เม็ดเงินที่ลงทุนกับการซื้อโฆษณาคุ้มค่าทั้งยังตรวจสอบและวัดผลได้อีกด้วย

 

9. ไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับ Analytics 

 

 

นอกจากการทำแคมเปญหรือการติดเครื่องมือต่าง ๆ บนเว็บไซต์แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือการวิเคราะห์ผลลัพธ์ผ่าน Analytic ที่มีประสิทธิภาพ คือสามารถข้อมูลได้ทุกด้าน รวมถึงเปรียบเทียบข้อมูลแต่ละชุดได้ ซึ่งสิ่งพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ Analytic มือใหม่ควรรู้เบื้องต้นคือ

 

  • อีเมลล์ลูกค้าที่เข้ามา 

 

  • เข้ามาผ่านช่องทางไหน

 

  • ใช้เวลากี่นาทีในการดูเว็บไซต์

 

  • ใช้เวลากับส่วนใดของเว็บมากที่สุด

 

  • กดออกจากเว็บตรงคอนเทนต์ไหน

 

  • เวลากี่โมงที่ลูกค้าเข้าเยอะและน้อย

 

ซึ่งแบรนด์ไหนที่มีเว็บไซต์จะได้เปรียบตรงที่สามารถรู้รู้ได้เลยว่าลูกค้าเข้ามาในเว็บผ่านช่องทางไหนมากที่สุดน้อยที่สุด จะคลิกไปไหนต่อ ให้เวลากับสิ่งใดบนเว็บมากที่สุด พฤติกรรมตลอดการเข้าเข้าเว็บไซต์จะถูกเก็บข้อมูลหมดเพื่อนำมาวิเคราะห์แผนขั้นต่อไปเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตรงนี้ให้ได้มากที่สุด เป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่เว็บไซต์

 

10. ไม่ได้ติดตามข่าวสารอัปเดตของ Google 

 

อีกเทคนิคที่อยากแชร์ให้ผู้อ่านทำที่ชอบทำ SEO มาก คือหากมีเครื่องใหม่ ๆ ของ Google ให้ลองเลย เนื่องจากเครื่องมือใหม่จะมีประสิทธิภาพการมองเห็นสูงเพราะ Google ก็อยากทดลองผลลัพธ์ในช่วงแรกที่ออกตลาดเหมือนกัน ฉะนั้นการติดตามข่าวสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เครื่องมือใหม่ ๆ ออกมาประสิทธิภาพมักดีกว่าของเก่าเป็นเรื่องปกติ การอัพเดตเครื่องมือให้เว็บไซต์ก็เป็นอีกวิธีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคอนเทนต์ SEO 

 

การทำ SEO ด้วยตัวเองนั้นอาจไม่ใช่เรื่องยากแต่ไม่ง่ายเกินไป การมีเครื่องมือที่ทันสมัยเป็นอีกสปีชที่ช่วยการทำ SEO ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการทำ SEO เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยดึงดูดและเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่พร้อมซื้อสินค้ารวมถึงแย่งคู่แข่ง อีกทั้งยังเป็นการโปรโมทเว็บไซต์ที่ทั้งฟรี หรือใช้งบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่สำคัญยั่งยืนอีกด้วย การให้ความสำคัญเกี่ยวกับเครื่องมือทำ SEO จึงเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้ได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดย Readyplanet ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ได้สร้างเครื่องมือ SMART SEO ยกระดับคุณภาพเว็บไซต์ ทั้งช่วยในเรื่อง Performance Based ให้สูงขึ้น ทำงานผ่าน​ ROI Focus วัดผล Conversions ได้ชัดเจน และยังดันคีย์เวิร์ดให้ขึ้นในหน้าแรกง่ายขึ้นอีกด้วย การมีเครื่องมือ SEO ที่ดีจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญ

สำหรับผู้ที่สนใจบริการ SEO วิถีใหม่ ยกระดับคุณภาพเว็บไซต์ในภาพรวม

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้โดย คลิกที่นี่