7 ข้อเข้าใจผิด ในการทำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์

ในยุคที่ E-Commerce เติบโต อาชีพที่เรียกได้ว่าได้รับความนิยมสูงสุด คงหนีไม่พ้นอาชีพ ขายของออนไลน์ เพราะดูเป็นอาชีพที่เริ่มต้นง่าย ไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากนัก อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มต้นง่าย แต่การจะทำให้ร้านค้าออนไลน์ประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ธุรกิจที่เพิ่งเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ อาจจะกำลังสงสัยว่าทำไมไม่มีลูกค้าเลย ทั้ง ๆ ที่เว็บไซต์ตนเองก็ดูดี สินค้าก็ราคาไม่แพง 

 

วันนี้ Readyplanet ขอมาเล่าสู่กันฟังว่ามีอะไรบ้างที่คนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ร้านค้า 

 

1. ใส่สินค้าทั้งหมดไว้ในหน้าแรกจนเว็บไซต์โหลดช้า

 

 

ธุรกิจที่มีเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ส่วนใหญ่มักคิดว่าการรวบรวมสินค้าที่มีทั้งหมดไปไว้หน้าแรก เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเลื่อนชมได้ง่าย เลื่อนเพียงหน้าเดียวก็สามารถดูสินค้าได้ครบ แต่ความจริงแล้ว การทำแบบนั้นจะทำให้เว็บไซต์โหลดช้า เพราะเนื้อหาเยอะเกินไป 

 

ผลสำรวจจาก Google Research พบว่า สิ่งที่ผู้ใช้งานไม่ชอบมากที่สุดในการเข้าเว็บไซต์ คือ การรอโหลด โดยผู้ใช้งานถึง 53% รอโหลดได้เพียง 3 วินาทีเท่านั้น ถ้านานเกินกว่านั้นพวกเขาพร้อมจะปิดเว็บไซต์ทันที ผลที่ตามมาคือลูกค้าอาจจำไปตลอดว่าเว็บร้านนี้ช้าแล้วไม่อยากเข้าเว็บนั้นอีกเลยก็ได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น ผู้ประกอบการควรมีการออกแบบ Sitemap หรือกำหนดโครงร่างของเว็บไซต์ และมีการ Grouping หรือการจัดกลุ่มของสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ จัดแบ่งหลาย ๆ หน้า ให้ลูกค้าเลือกหาได้ง่าย รวมถึงบีบอัดและย่อขนาดไฟล์ทุกอย่าง เพื่อช่วยให้เว็บทำงานได้เร็วมากขึ้น

 

2. หาช่องทางติดต่อยาก 

 

 

การใส่รายละเอียดช่องทางติดต่อเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหลายคนมองข้ามไป พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มักคิดว่าข้อมูล รูปภาพสินค้าที่ตนใส่ไว้ในเว็บไซต์เพียงพอแล้วต่อการตัดสินใจของลูกค้า ทำให้เมื่อลูกค้ามีคำถาม ข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ก็หาช่องทางติดต่อกับร้านค้าทันทีไม่ได้ โดยเหตุการณ์เหล่านี้อาจทำให้คุณเสียลูกค้าไปเป็นจำนวนมาก เพื่อแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว ตัวช่วย อย่าง R-Widget ปุ่มติดต่ออัจฉริยะสำหรับเว็บยุคใหม่ จาก Readyplanet สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถรวมทุกช่องทางติดต่อของร้านค้าไว้ในปุ่มเดียว ไม่ว่าจะเป็น เบอร์โทร, ฝากเบอร์โทรกลับ, แบบฟอร์มติดต่อ, แผนที่, Facebook Messenger, LINE, WhatsApp และ Skype ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าติดต่อคุณได้เพียงแค่ปลายนิ้ว เมื่อใช้ตัวช่วยนี้ นอกจากจะทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าร้านค้ามีตัวตนอยู่จริง ยังสามารถเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้รวดเร็วอีกด้วย

 

3. ไม่สามารถทำราคาโปรโมชั่นได้ 

 

 

 

มั่นใจว่าทุกร้านค้าต้องมีการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลดราคา การแจกฟรีเมื่อซื้อสินค้าตามเงื่อนไข หรือการตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 แต่สิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่อาจจะยังไม่ทราบว่ากัน คือ บนเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ก็สามารถทำราคาโปรโมชั่นได้ โดยการทำราคาโปรโมชั่นให้ได้ผลดี ดึงดูดใจผู้ลูกค้าผู้ประกอบการอาจเลือกใช้ฟีเจอร์ของ R-Shop แพลตฟอร์มสร้างร้านค้าออนไลน์ เป็นตัวช่วย สามารถทำได้ทั้งการตั้งราคาสินค้าหลาย ๆ แบบ สามารถตั้งเป็นราคาปกติ ราคาสมาชิก ราคาพิเศษ ดึงดูดให้ลูกค้าเห็นความต่าง พร้อมยังมีระบบ Order Management ช่วยจัดการรายการสั่งซื้อตั้งแต่ต้นจนจบ รองรับการเชื่อมต่อกับระบบสะสมแต้ม และรองรับการชำระเงินหลายรูปแบบ

 

4. ลืมทำ SEO หรือไม่ให้ความสำคัญ 

 

 

ลองคิดภาพตามกัน เมื่อเราต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่างในอินเตอร์เน็ต สิ่งที่เราทำ ก็คือ เข้าเว็บไซต์ Google แล้วพิมชื่อสิ่งที่ต้องการค้นหาหรือ Keyword ที่ใกล้เคียงลงไป แน่นอนว่าเว็บที่เราจะเลือกคลิกเข้าไปดูก็คือเว็บที่อยู่บนหน้าแรก ๆ เท่านั้น ดังนั้นการทำให้เว็บไซต์ร้านค้าให้ขึ้นมาอยู่เป็นหน้าแรกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ มิเช่นนั้นคงมีโอกาสน้อยที่ลูกค้าจะหาเว็บไซต์ร้านค้าของเราเจอ 

 

โดยการจะทำให้เว็บของเราขึ้นไปติดหน้าแรกฟรีได้ต้องอาศัยการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization นั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ออนไลน์มือใหม่อาจมองข้ามไปหรือยังขาดความรู้ Readyplanet ขอแนะนำ แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ ที่มาพร้อมเครื่องมือการตลาดแบบ All-in-One ที่นอกจากจะมีความเชี่ยวชาญในการทำ SEO โดยเฉพาะ ช่วยให้เว็บของคุณเข้าถึงได้ง่าย หาลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจของคุณ ยังสามารถทำให้เว็บไซต์ร้านค้าของคุณสวยงามขึ้น ปรับแต่งเพิ่มได้ตลอดเวลา สร้างภาพลักษณ์ให้ร้านค้าดูน่าเชื่อถือ รับรองว่ายอดขายร้านค้าของคุณเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

 

5. ให้ความสำคัญกับ Social Media มากเกินไป 

 

  

ทุกวันนี้มีแพลตฟอร์ม Social Media มากมายที่ผู้ประกอบการสามารถใช้ขายสินค้าได้เลย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram หรือ LINE โดยข้อดีของการใช้ Social Media ขายสินค้า มีทั้ง สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ใกล้ชิด เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่ลูกค้าใช้งานอยู่แล้ว หรือสามารถสื่อสาร Branding ไปสู่ลูกค้าได้ผ่านคอนเทนต์ต่าง ๆ 

 

ด้วยข้อดีเหล่านี้จึงทำให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต่างก็ให้ความสำคัญกับ Social Media เป็นพิเศษ และเริ่มให้ความสำคัญกับเว็บไซต์น้อยลง ซึ่งจริง ๆ แล้วเว็บไซต์ก็ยังจำเป็น และมีข้อดีที่ Social Media ตอบโจทย์ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการความน่าเชื่อถือ ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ สังเกตได้ว่าแบรนด์ดัง ๆ หรือบริษัทใหญ่ ๆ ต่างก็มีเว็บไซต์เป็นของตนเองทั้งนั้น และประโยชน์อีกข้อของเว็บไซต์ คือ เป็นแหล่งเก็บข้อมูลชั้นดี สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าผ่านระบบสมัครสมาชิก และการกรอกข้อมูลรับส่วนลดได้ด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการควรหมั่นอัปเดตเว็บไซต์ อัปเดทข้อมูลให้ใหม่อยู่ตลอดเวลาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าของคุณ 

 

6. เข้าใจว่ายอดขายส่วนใหญ่มาจากลูกค้าใหม่ 

 

ผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจน่าจะต้องคุ้นหูหรือเคยได้ยิน กฎ 80:20 กฎที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งถูกคิดค้นโดยวิลเฟรโด พาเรโต นักเศรษฐศาสตร์ ชาวอิตาลี กฎนี้เมื่อนำเอามาปรับใช้ในเรื่องลูกค้าของร้านค้า หมายความได้ว่า 80% คือลูกค้าที่พร้อมจะหันไปซื้อของแบรนด์อื่นเมื่อได้รับโปรโมชั่นที่ดีกว่า ส่วน 20% คือลูกค้าที่มีความจงรักภักดีต่อองค์กร นอกจากนี้พาเรโตยังบอกอีกว่า หากศึกษาให้ดีจะพบว่าลูกค้ากลุ่ม 20% นี้สามารถทำกำไรให้ร้านได้ดีกว่าลูกค้ากลุ่ม 80% อีกด้วย เพราะเป็นการซื้อซ้ำ ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าที่อาจเข้าใจผิด ไปให้ความสำคัญหรือแสวงหาลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียว ควรหันมาให้ความสำคัญกับลูกค้าเก่าด้วย โดยอาจเริ่มจากการหาช่องทางสื่อสารกับลูกค้าเก่า เช่นทาง Line@ หรือแฟนเพจ หรืออาจทำเป็นระบบสะสมแต้มในทุก ๆ ยอดซื้อตามเงื่อนไข โดยในปัจจุบันมีระบบที่สามารถสะสมแต้มผ่านเบอร์โทรศัพท์ ไม่ต้องให้ลูกค้าพกบัตรสะสมเหมือนอดีต เครื่องมือที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ดีที่สุด คือ ระบบสะสมแต้มด้วยเบอร์โทร Pointspot ที่นอกจากจะสะสมแต้มขึ้นเพราะโอนพอยท์ให้เพื่อนได้ด้วย เพิ่มความสนุก กระตุ้นให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำ และสามารถเชื่อมต่อกับ R-Shop ได้ด้วยเช่นกัน จึงทำให้ทุก ๆ การสั่งซื้อผ่านหน้าเว็บ ลูกค้าจะสามารถสะสมแต้ม หรือใช้แต้มเป็นส่วนลดได้ทันที

 

7. ทำ SEO แล้วไม่ต้องทำ SEM 

 

 

ผู้ประกอบการที่ทำ SEO อยู่แล้ว อาจจะสงสัยแล้วว่าเว็บไซต์ของเราต้องทำ SEM ด้วยหรือไม่ คำตอบคือควรทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีสุด เนื่องจากว่า SEO ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล (อย่างต่ำคือ 6 เดือน) ดังนั้นระหว่างรอไม่ให้เสียเวลา ก็ควรทำ SEM ด้วย ซึ่งผู้ประกอบการอาจแบ่งน้ำหนักให้ไม่เท่ากัน ให้พ่อค้าแม่ค้าพิจารณาจากร้านค้าคู่แข่งของคุณ กลุ่มลูกค้าของคุณเป็นใคร และสถานะเว็บไซต์ร้านค้าของคุณในขณะนั้น 

 

สำหรับความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM แบบที่อธิบายให้เข้าใจง่าย คือ SEM จะมีค่าใช้จ่าย จ่ายตามราคาต่อคลิกที่ได้ และที่สำคัญคือสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที โดยจะมี Label ขึ้นว่า Ads กำกับอยู่ด้วย เจ้าของร้านค้าออนไลน์มือใหม่ที่อาจจะกังวลว่าทำ SEO ไม่เป็น ที่ Readyplanet มีบริการรับทำโฆษณาออนไลน์ โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการดูแลลูกค้าหลากหลายธุรกิจ ให้เว็บไซต์ร้านค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย มีลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มมากขึ้น

 

หลังจากที่ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่ต้องดูแลเว็บไซต์อ่านบทความนี้จบ ก็คงทราบกันแล้วว่าการทำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์จำเป็นไม่แพ้กับ Social Media เลย ยิ่งถ้าทำให้เว็บไซต์เป็นระเบียบ เลือกดูง่าย มีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อได้สะดวก มีการใส่ราคาโปรโมชั่น มีการทำ SEO และ SEM ก็จะสามารถดึงดูดให้ลูกค้าเข้าเว็บไซต์ได้เป็นจำนวนมาก เพิ่มยอดขายให้ทะลุเป้าแน่นอน โดยการทำทั้งหมดนี้ให้เว็บไซต์ด้วยตัวเองอาจจะดูยาก แต่ถ้าใช้ตัวช่วย จาก Readyplanet ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ รับรองว่าง่ายนิดเดียว

 

พร้อมหรือยัง? ที่จะเริ่มสร้างเว็บไซต์ในแบรนด์ของคุณ

สร้างเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ของคุณวันนี้ เริ่มต้นง่ายด้วย R-Shop แพลตฟอร์มสร้างร้านค้าออนไลน์ ทำเว็บไซต์ง่าย ได้เว็บสวย มาพร้อมระบบแชทบนเว็บไซต์ และเครื่องมือการตลาดดิจิทัลแบบครบครัน รองรับทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณเริ่ม Go Online ได้อย่างครบครัน และไร้กังวล

 

 

Updated: 15 December 2020 | Produced by: Dujnapa Chauthamcharoen